แนะให้.. 7 เทคโนโลยีดีๆ ที่รัฐบาลไม่ได้ใช้สู้วิกฤติ

1| Vaccine Patch

ใครว่าการฉีดวัคซีนต้องเป็นหน้าที่เฉพาะของแพทย์ และพยาบาลเท่านั้น ยิ่งในช่วงเวลาแบบนี้ ที่บุคลากรแพทย์มีจำนวนจำกัด.. สตาร์ทอัพจากประเทศออสเตรเลีย นามว่า Vaxxas ได้ทำการคิดค้นการฉีดวัคซีนแนวใหม่ โดยใช้เพียง “แผ่นสติ๊กเกอร์บางๆ” แปะที่หัวไหล่ ..จากเข็ม microprojections ขนาดเล็กจำนวนเป็นพันเข็ม สามารถส่งน้ำวัคซีนผ่านชั้นผิวหนังมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แพ้การฉีดแบบดั้งเดิม

สิ่งสำคัญคือไม่เจ็บ ไม่ต้องใช้ความชำนาญใดๆ เป็นอนาคตในการขจัดปัญหาเรื่องการเข้าถึงวัคซีนของคนทั้งประเทศ เพราะสามารถกระจายส่งไปถึงบ้านเป้าหมาย แต่ละบ้านให้คนฉีดกันเองได้หมด.. ไม่ต้องต่อคิวรอแออัดอย่างภาพข่าว

**เทคโนโลยีนี้อยู่ระหว่างการวิจัยขั้นสุดท้าย

vaccine-patch-final (1).jpg





2| USDR Volunteer

USDR หรือ United State Digital response ระบบการหาอาสาสมัครอาสาสมัครในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นการสรรหากลุ่มอาสาสมัครที่มีความสามารถพิเศษทางเทค และสามารถโค้ดโปรแกรม เพื่อช่วยแก้ปัญหาวิกิฤติโดยเฉพาะ.. แพลตฟอร์มรวมตัวครั้งนี้ สามารถทำให้ทีมgeekแบบนักโค้ดโปรแกรมกลายเป็นนักรบช่วยชาติได้ ไม่แพ้กับทีมนักรบชุดขาวของรพ.เลย.. เพราะสามารถช่วยรัฐบาล และองกรณ์NGO ในช่วงนี้ไปแล้วในการ จัดการBig Data ผู้ป่วย, Tracing แทรคตามคนที่มีแนวโน้มว่าติดเชื้อ, จัดข้อมูลสต๊อคของยารักษาโรค ช่วยในการกระจายของอย่างมีประสิทธิภาพ และอื่นๆอีกมาก



3| SHIELD48

Shield_23-04-20_318_Full_1280x1920px-683x1024.jpg


หน้ากากล้ำเทคโนโลยีตัวนี้เป็นผลิตผลของ global hackathon ที่จัดขึ้นจากรัฐบาลประเทศเอสโตเนีย คัดหานวัตกรรมใหม่ที่จะช่วยแก้เรื่องวิกฤติ ภายในเวลาเพียง 48ชม. เค้าได้ผลงาน SHIELD48 หน้ากากที่ออกแบบมาเพื่อบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าโดยเฉพาะ ด้วยการใช้วัสดุกันสารคัดหลั่ง และergonomicที่รับกับใบหน้าดีพิเศษ หน้ากากนี้ลดการตติดเชื้อขณะปฎิบัติหน้าที่แทบ 100% ..ขณะนี้ใช้กันแพร่หลายในรพ.ประเทศลัตเวีย


4| Seeketing

maxresdefault (6).jpg

หนึ่งในเทคโนโลยีที่ดีมากๆในการควบคุม Social distancing อย่างมีประสิทธิภาพ สตาร์ทอัพจากประเทศสเปน คิดค้นการดักจับ และมอนิเตอร์การรวมคลัสเตอร์ ของคนภายในบริเวณที่อาจเกิดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อ.. โดยใช้เพียงตัวจับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ หากในระยะเซนเซอร์มีจำนวนมือถือเกินกว่าที่ตั้งไว้ ระบบจำไม่การเตือนไปให้มีการแยกตัว..

Screen Shot 2021-08-02 at 2.28.14 AM.png





ระบบนี้เหมาะมากๆในการนำมาใช้กับร้านค้า, ร้านอาหารบ้านเรา ไม่ต้องถึงกับล๊อคดาวน์ปิดตาย แต่รัฐสามารถอนุญาติให้เปิดได้ และใช้การตรวจจับ จากเทคโนโลยีนี้ หากจำนวนลูกค้าที่นั่งกินในร้านแน่นเกินที่กำหนด จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเตือน หรือลงโทษด้วยการปิดเป็นลำดับถัดไป




5| De-centralised Tracing


ระบบติดตามคนป่วยจากไวรัสย้อนหลัง ในประเทศส่วนใหญ่ จากใช้การรวมข้อมูลที่ศูนย์กลาง (Centralised tracing) ยกตัวอย่างเช่นรัฐบาลไทยให้คนไทยโหลดแอปหมอพร้อม ส่วนหนึ่งคือเพื่อการติดตามไทม์ไลน์ หากใครมีการติดเชื้อ.. แต่ระบบรวมทุกอย่างที่ศูนย์กลางนั้นทำให้ทำอย่างยุ่งเหยิงด้วยตัวข้อมูลที่มากเกินไป และผู้ใช้ต้องทำการอนุญาติให้ตัวแอปสามารถtrack โลเคชั่นของผู้ใช้ได้..


Google และแอปเปิ้ล 2บริษัทยักษืใหญ่มือถือ จึงร่วมกันทำระบบdecentralised tracing ที่ไม่มีการรวมข้อมูลที่เซิฟเว่อร์กลาง เว้นแต่เมื่อมีการติดเชื้อจริง.. เมื่อเจ้าของมือถือผู้ติดเชื้อ ทำการกดรายงานว่าเค้า/เธอติดแล้ว ระบบจึงคำนวนย้อนหลังโดยใช้การจับ ข้อมูลคล้ายแบบBlockchain แล้วมีการเปิดเผยข้อมูล-การติดต่อ-สัมผัสกับผู้อื่น ในวันเวลาไหนบ้าง.. ระบบนี้นอกจากเคารพเรื่องคความเป็นส่วนตัวในการเปิดเผยข้อมูล ยังเป็นการจัดการข้อมูลได้ดีกว่า ไม่ยุ่งเหยิง เจ้าหน้าที่ทำงานน้อยลง

6| Partnered Medicine delivery

Australia-Post-shutterstock_311489750-e1550575407939.jpg

ปัจจุบันเมื่อผู้ป่วยทะลักโรงพยาบาล ปริมาณผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) เพิ่มขึ้นทุกวัน การลำเลียงยาแจกจ่ายในประเทศไทยยังมีปัญหาเยอะ.. จะดีกว่ามั้ยถ้ารัฐร่วมมือกับบริษัทขนส่งใหญ่อย่าง ไปรษณีย์ไทย, เคอรี่ หรือแม้กระทั่งแกรบ ให้ดำเนินการแจกจ่ายยาทุกเช้าตามพื้นที่ ..อย่างที่รัฐบาลออสเตรเลีย ร่วมมือกับ Australia post ที่ช่วยแจกจ่ายยา 500กรัม ให้กับคนไข้ ลดการเกินทางไปรพ. หรือรับยาที่ร้านขายยา ..ปัจจุบันโครงการนี้จ่ายยาอื่นๆ ให้ผู้ป่วยที่ไม่ติดเชื้อด้วย เพื่อลดการเดินทางภายในเมืองโดยไม่จำเป็น

7| SPOTON

spoton.png

รัฐบาลในหลายประเทศ (ไม่แน่ใจประเทศไทยด้วยมั้ย? เอิ่ม..ไม่หรอก) ทำการลงทุนในการประดิษฐ์เทคโนโลยีดักจับผู้ที่มีโอกาสป่วย จากการใช้อินฟาเรดจับความร้อน.. วันนี้ที่ประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลทำ SPOTON ตัวAI จับคลื่นความความร้อนที่ทรงอานุภาพ เพราะสามารถเช็คได้ถึง 10คนรวดเดียว ไม่ต้องต่อแถว.. แถมสามารถแยกแยะความร้อนที่เกิดจากการถือถ้วยกาแฟ หรือสภาพอากาศร้อนจัดได้อีกด้วย โดยมีค่าคาดเคลื่อนที่น้อยสุดๆเพียง 0.2 องศาเซลเซียส

Previous
Previous

ล็อคดาวน์อนาคตเด็ก ปิดการศึกษา1ปี ??

Next
Next

"กระทรวงเทคโนโลเทค” พักก่อนนะ.. ได้เวลาGovTech