หนาวเมษา ..ภาวะโลกรวนที่ต้องดูแล #ClimateChange

ไทยมีหน้าร้อน เย็นจัดที่ 21องศา น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดี.. เพียงแต่ถ้าพิจารณาช่วงเวลา นี่คือ "หน้าหนาวกลางหน้าร้อน" กับปรากฏการณ์ใหม่ที่กรมอุตุฯเรียกว่า กระแส "Jet Stream" (ผู้เขียนมองว่าคือ "Polar Vortex" กลางเส้นศูนย์สูตร) ..ลมหนาวจากขั้วโลกพุ่งเข้าสู่ใจกลางโลก โดยทะลุผ่านกำแพงกระแสลมอุ่นได้ ทั้งหมดเกิดจาก ภาวะสภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ (Climate Change) ..ไม่ใช่แค่มนุษย์ที่ได้ผลกระทบ แต่สัตว์และพืชพันธุ์ทั้งโลก ก็พาลโดนไปด้วย

.

.

เรื่องนี้ใหม่สำหรับบ้านเรา.. แต่สำหรับประเทศอื่น ได้รับผลกระทบนานแล้ว อย่างที่ผมเคยเจอที่ เมืองชิคาโก ประเทศอเมริกา ปรากฎการณ์ Polar vortex ทำให้คลื่นทะเลแข็งเป็นน้ำแข็งทั้งทะเล ที่อุณหภูมิต่ำกว่า -30องศา ..ซึ่งน้อยกว่าหน้าหนาว ที่มันควรจะเป็น

.

.

หนำซ้ำผลร้ายของมัน ขยายผลทั่วโลกแล้วดังนี้


◼️ ประเทศจีนและบราซิลพบกับความแห้งแล้งครั้งประวัติศาสตร์ จนผลผลิตถั่วเหลืองและข้าวสาลีพังย่อยยับ ส่งผลให้ราคาแพงขึ้นมาก ในปี2021


◼️ ความแห้งแล้ง ในประเทศตูนิเซีย และโมร็อคโค ทำให้แทบไม่เหลือ น้ำในเขื่อน สำหรับการผลิตไฟฟ้า


◼️ ธารน้ำแข็งละลาย 20%เร็วกว่าที่ทุกคนประเมิน น้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาละยัน หรือ เทือกเขาแอนดิส ละลายเร็ว ส่งผลต่อระดับน้ำโลกที่ขึ้นสูง


◼️ อากาศร้อนที่หายไปในปีนี้ ฝนที่ตกบ่อยขึ้นอย่างผิดฤดูอาจเกิดจากองศาความร้อนของโลกที่มากขึ้นเรื่อยๆเผาหน้าน้ำให้กลายเป็นไอมากขึ้นเกิดเป็น Atmospheric River ขึ้นไปอัดแน่นบนชั้นบรรยากาศแต่ไม่ตกมาเป็นฝน

.

.

นอกจากเรื่องร้อนผิดหน้า หนาวผิดฤดู ซึ่งเจอะเจอกันมา ..เรื่องหายนะ กว่านั้นคือ ความไม่สมดุลย์ อาจะก่อให้เกิดโรคระบาดใหม่ๆ อย่างที่เราพึ่งเจอใน วิกฤติตลอด 2ปีกว่านี้

.

.

หลายคนเชื่อว่าการระบาด ก่อนหน้าต้นเหตุคือ การที่มีคนเปิบพิศดาลค้างคาว... แท้จริงจากผลพิสูจน์หลายฝ่ายยืนยัน ว่าไม่จริง และเป็นผลกระทบจากสภาวะโลกรวน (Climate Change) การที่สัตว์ป่าที่อาศัยในหน้าร้อน ซึ่งไม่ควรต้องโคจร พบกับพืชในหน้าหนาว แต่เมื่ออากาศเปลี่ยนรุนแรงแบบนี้ ทำให้สองสิ่งในธรรมชาติ ที่สร้างมาให้แยกกัน แต่ดันมาเจอกัน เช่น ค้างคาว หรือนกเค้าแมว Common poorwills ที่ควรเริ่มจำศีลประมาณเดือนตค. - พย. แต่อากาศร้อนจนทำให้มันไม่รู้ว่าควรบินอพยพไปจำศีล ยังออกไปหาปกติ จนกินพืชหน้าหนาว ที่ไม่เคยกินมาก่อน


มูลฝอยจากค้างคาว ที่ทิ้งไว้ เป็นสารประกอบใหม่ที่บนโลกไม่เคยมี เมื่อสัตว์ในระบบนิเวศน์ได้รับสิ่งนั้นเข้าไป จากสัตว์เล็กๆที่กินมูล ไปจนสัตว์ขนาดใหญ่ขึ้น ไปจนมนุษย์ได้รับประทานผลผลิตดังกล่าว.. จึงเกิดโรคประหลาดเกิดขึ้น

.

.

ที่ผมต้องการย้ำคือ สภาวะโลกรวน (Climate Change) อาจดูไกลตัว อาจดูไม่ได้กระทบรุ่นพ่อแม่-พี่น้องเราตอนนี้


แต่หากเรามองถึงอนาคตลูกหลาน นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ.. อาจมีโรคระบาดใหม่ที่หนักกว่านี้ จะอุบัติขึ้น


ฉะนั้นนโยบาย ง่ายๆเช่น ลดการใช้ถุงพลาสติก, การลดการทำปศุสัตว์ ที่ก่อให้เกิดแก๊สมีเทน โดยใช้โปรตีนพืชทดแทน, การใช้รถชาร์จไฟฟ้า EV แทนรถที่บริโภคน้ำมัน เป็นต้น.... ที่จะช่วยลดสภาวะแปรปรวนได้นั้น สำคัญมาก

.

.

ขอให้ทุกท่านตระหนัก และช่วยกันลดปฏิกูลบนสายพานการผลิต รีไซเคิลของเก่าให้มาก


จะช่วยลดการก่อเกิดคาร์บอน CO2 emission ทั้งเชิงอินทรีย์ และเคมีทั้งปวง


ความร่วมมือเล็กๆ ระหว่างรัฐ และประชาชน


ต้องทำจริงจังตอนนี้ ก่อนสายไป..




สลากกินแบ่ง ..ไม่ใช่สลาก ”แบ่งกิน”

มหากาพย์ #หวยแพง ไม่จบง่ายๆ.. เพราะผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องมันเยอะ เยอะมากซะจนผู้ที่เกี่ยวข้อง - ฝ่ายที่ได้ประโยชน์ ไม่ต้องการปรับเปลี่ยนระบบใดๆ ที่กระทบการ”แบ่งกิน” ชิ้นเค้ก มูลค่า 4.8หมื่นล้านบาท/ปี จากการจัดจำหน่ายหวย ผ่านระบบตัวแทนอย่างเดียว


คุณจะตกใจมั้ย? ถ้าผมจะบอกว่า ล็อตเตอรี่เมืองไทย ..กำไรที่เข้ารัฐ เท่ากันกับ เงินที่เครือข่ายขายต่อ-เก็งกำไรหวยเค้าทำได้

.

.

ลองคำนวนกันเล่นๆ.. ด้วยคณิตศาสตร์พื้นฐาน


◼️ ราคาขาย ที่รัฐต้องการควบคุม อยู่ที่ 80.-/ใบ

◼️ ราคาทุน ที่รัฐขายให้ตัวแทน อยู่ที่ 70.40บาท ..คิดง่ายๆเป็น 70.-/ใบ

◼️ ราคาจริง ตามท้องตลาดที่ผู้บริโภคซื้อ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100.-/ใบ

◼️ จำนวนหวยที่พิมพ์ทั้งหมด 100ล้านใบ/งวด (ชุดละล้าน 10ชุด)

.

.

มูลค่าเงินที่รัฐได้ จากการขายหวย 1งวด อยู่ที่ 7 พันล้านบาท/งวด ...ขณะที่มูลค่าเงินรางวัลที่ กองสลากจ่ายแก่ผู้ถูกรางวัลรวมทั้งสิ้น 4.8 พันล้านบาท/งวด


เท่ากับรัฐได้รับกำไรทั้งสิ้น จากการขายสลากอยู่ที่

7,000,000,000 - 4,800,000,000 = 2.2 พันล้านบาท/งวด


จำตัวเลขนี้ไว้นะครับ... "2.2พันล้านบาท"

.

.

มาดูที่ฝั่งคนซื้อบ้าง ราคาที่ซื้อกันจริงของหวยในตลาด เฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 100บาท/ใบ


เท่ากับว่าส่วนต่างผลประโยชน์ ที่เกี่ยวเนื่องในการซื้อ-ขายหวยอย่างเดียว

(100 - 80) x 100,000,000 = 2พันล้านบาท/งวด


......


"2.2พันล้าน" vs "2พันล้าน".. กำไรที่รัฐได้ หลังหักเงินรางวัล vs ผลประโยชน์ของกระบวนการเก็งราคาขายหวย ..ให้ตาย เลขมันแทบจะเท่ากัน!

.

.

นี่เรากำลังพูดถึงผลประโยชน์ก้อนใหญ่ ในแวดวงจัดจำหน่ายหวย ...


ซึ่งมูลค่านี้เอง คือราคาค่างวดที่ผู้ซื้อหวยไทยต้องจ่ายแพงเกิน ปีละถึง 4.8หมื่นล้านบาท!

.

.


ถึงเวลาหรือยังที่กลไกการขาย, การแจกจ่ายโควต้าหวยต้องเปลี่ยนแปลง


ยกตัวอย่าง หวยประเทศเพื่อนบ้านอย่างฟิลิปปินส์ นั้นเปิดกว้างให้ผู้เสี่ยงโชค สามารถซื้อทางออนไลน์ เลือกเลขที่จะแทงเองได้หมด.. ในราคาเริ่มที่ 24เปโซ หรือเพียง 15.5บาท ต่ำมากเมื่อเทียบกับหวยไทย ที่ซื้อหากันได้จริงในราคา 90-120บาท ทั้งที่ค่าครองชีพไทย กับฟิลลิปปินส์ไม่ห่างกันมาก

.

.

..ถ้าเอาจริง รัฐต้องเริ่มสร้างระบบขายหวยออนไลน์ Centralized ของรัฐเอง ที่ควบคุมราคา ขายที่80.-/ใบ กับผู้ซื้อได้ทุกคน ..แล้วค่อยๆแทนที่ ระบบ Decentralized แบบแบ่งให้ตัวแทนขาย (ที่ไม่ค่อยโปร่งใส).. อย่างค่อยเป็นค่อยไป..


เช่น ช่วงแรกออนไลน์เปิดแบบจำกัด 30ล้านใบ ..ช่องทางตัวแทน ลดเหลือ 70ล้านใบก่อน ..แล้วค่อยปรับไปจน 50-50% และคอยดูผลตอบรับ ..เพื่อไม่ให้กระทบรายย่อยจังๆ และยังเป็นการหาจุดสมดุลย์ราคาได้ ลดการโก่งราคาที่แผงอ๊อฟไลน์แบบเห็นผล

.

.

ประชาชนเค้าซื้อสลาก เพราะหวัง "กินแบ่ง" นะท่าน


อย่าปล่อยช่องว่างให้แร้ง "แบ่งกิน" กันจนหมด

"หวยแพง" แก้ด้วยเทคโนโลยี ..อย่าบี้แต่มังกรฟ้า 🐉🎫

หวย กับวัฒนธรรมไทย เป็นสิ่งที่แกะแยกจากกันแทบไม่ออก ด้วยความที่เป็นสังคมวัฒนธรรมที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ.. ถูกจริตยิ่งนักกับ “หวย” เศษกระดาษสีฉูดฉาดใบนึง


อะไรที่ทำให้ ผู้คนยอมจ่ายเงินกว่าร้อยบาท เพื่อให้ได้มาเพื่อครอบครอง?

.

.

มูลค่าแท้จริงของหวย มันคือ “ให้ความหวัง” (Providing Hope) ให้กับชนชั้นกลาง-ล่าง เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจ.. สะท้อนสภาพสังคม-เศรษฐกิจบ้านเราอย่างจัง ที่คนทำงานรู้สึกหมดหวัง กับการทำงานหนัก ที่กินเอ็มร้อยไปวันๆ เค้าจึงต้องการซื้อ"ความหวัง" เผื่อว่าวันนึง จะได้รู้ว่าความมั่งคั่งรสชาติเป็นอย่างไร

.

.

แต่ปัญหาอยู่ที่การขายหวยเกินราคา ใบละ80.- เกิดจากอะไร.. และรัฐเคยพยายามผลิตเพิ่ม เพราะคิดว่าปัญหาอยู่ที่ความต้องการซื้อ (Demand) มากกว่าจำนวนหวยที่มี (Supply) ดังนี้


◾ พ.ศ. 2557 พิมพ์สลากงวดละ 37 ล้านใบ /งวด

◾ พ.ศ. 2558 พิมพ์เพิ่มเป็น 50 ล้านใบ /งวด

◾ พ.ศ. 2559 พิมพ์เพิ่มเป็น 65 ล้านใบ /งวด

◾ พ.ศ. 2560 พิมพ์เพิ่ม 71 ล้านใบ /งวด

◾ ปัจจุบัน พิมพ์เพิ่มเป็น 100 ล้านใบ/งวด

.

.

แต่กระนั้นเลย ก็ไม่อาจแก้ปัญหาราคาปลีก ดังกล่าวได้ เพราะทั้ง 100ล้านใบนั้น ไม่ได้ถูกกระจายออกไป ..แต่กลับติดอยู่กับ ตัวละครลับในวงการไม่กี่คน.. นั่นทำให้หวยแพงขึ้นเหมือนเดิมทั้ง 100ล้านใบ

.

.

ล่าสุด “มังกรฟ้า” ผู้ให้บริการตลาดแลกเปลี่ยนหวย ผ่านทางออนไลน์ ถูกจับกุมโดย คณะอนุกรรมการ แก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งเกินราคา… แถมยังประกาศจะดำเนินคดี กับผู้ที่นำสลากมาขาย และแบนการให้โควต้าตลอดชีพ ..ซึ่งในแพลตฟอร์มมังกรฟ้า มีผู้ค้าร่วม 3.9หมื่นคน... โทษนี้ หนักเกินไปหรือไม่?

.

.

ในความเห็นผม คิดว่าแทนที่รัฐ จะลงโทษขนานหนัก ควรมองและทำความเข้าใจในพฤติกรรม ของการซื้อหวย ที่เปลี่ยนไปมากกว่า.. การไปซื้อที่แผงเริ่มไม่สะดวก ในช่วงวิกฤติ, ผู้บริโภคต้องซื้อเลข on-demand ที่เค้ามองไว้

.

.

การไปโทษแพลตฟอร์มใหม่ อย่างมังกรฟ้า ว่าเป็นตัวการที่ทำให้ราคาหวยปั่นป่วน ก็จะเป็นการเหมารวมเกินไป... ราคาปลีกที่ขายเกิน 80.-นั้น จริงแล้วมีมานานมากแล้ว.. ซึ่งต้นตอเกิดจากหลายเหตุ หลายผลประโยชน์ ทั้งเรื่องการจัดสรรไม่เป็นธรรม, เรื่องนอมินี, เรื่องยี่ปั๊วรายใหญ่กว้านซื้อ, เรื่องการรวมเลขชุด ....ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้สลากราคาแพง มานมนาน ที่รอการแก้ไข

.

.

แทนที่รัฐจะมองว่า มังกรฟ้า เป็นปฏิปักษ์ ควรใช้เค้าเป็นกรณีศึกษา.. หากข้อกฎหมายข้อไหนผิดก็ว่าไปตามนั้น และโทษของผู้ประกอบการมังกรฟ้านั้น ..รัฐควรให้เค้าชดใช้ด้วยการทำงานให้กองสลาก ให้ความรู้ วางรากฐานการขายสลากแบบ "แสกน-จ่าย-จบ" ทางออนไลน์ร่วมกับภาครัฐแทนที่... อย่างที่ต่างชาติเค้าลงโทษแฮ๊คเกอร์เก่งๆ ด้วยการจ้างงานมาร่วมมือกับภาครัฐแทน

.

.

อย่าเอาแต่แก้ปัญหาโดยใช้อำนาจ แต่ต้องพยายามเอาคนที่มีความสามารถ เข้ามาร่วมมือ ปรับบริการการขายสลากจากการขาย Decentralized system แบ่งให้ตัวแทน(ที่ไม่ค่อยโปร่งใส) ..คนพิการดันไม่ได้โควต้า คนได้โควต้าดันเป็นนอมินีแบบนี้

.

.

เป็นระบบ Centralized โดยรัฐเป็นคนขายตรงผ่านระบบออนไลน์ จะผ่านทางแอป "เป๋าตัง" อย่างที่เป็นข่าวก็ย่อมได้ หรือจะทำให้คนเล่น สามารถเลือกเลขท้ายที่พวกเค้าต้องการ ตามระบบล็อตโต้เมืองนอก ก็จะแก้ปัญหา demandจมได้เช่นกัน

.

.

ซึ่งด้วยวิธีนี้ กองสลากสามารถกำหนดราคาขายที่ 80.-/ใบ สู่ลูกค้าทุกคนอย่างเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพขึ้น ..ตามแผงที่ยังต้องวาง ให้คนไม่เข้าถึงเทคโนโลยีซื้อบ้าง.. ก็จะเหลือน้อยจุดขาย ทำให้สอดส่องดูง่ายขึ้น

.

.

..ส่วนเรื่องการขาย Reselling ขายต่อเลขสวย-เลขชุด จากคนสู่คน... ตามบริการ marketplace


ตามหลักโลกทุนนิยมแล้วเป็นเรื่องปกติ ในต่างประเทศจึงเกิดบริการคล้ายกันขึ้นมากมาย เช่น Stubhub, SeatGeek, VividSeat, eBay ที่เป็นตลาดขายต่อของ-ตั๋วคอนเสิร์ต เก็งกำไรกันเป็นเรื่องปกติ ทำหน้าที่เหมือนตลาดการลงทุนอย่างหนึ่ง

.

.

ปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไก ดีกว่าครับ



เอกสิทธิ์ สส. มีไว้ทำไม??

พูดถึงเรื่อง "เอกสิทธิ์" ของสมาชิกสภา ..คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ และคิดว่าคงเป็นสิ่งที่ทำให้สส.ลอยตัวเหนือกฏหมายในหลายๆแง่ เช่น ไม่ถุกจับกุม มีเอกสิทธิ์ในการประกันตัว แม้โดนคดีอาญาก็ตาม

.

.

ล่าสุด จากคำกล่าวจาก สส.รุ่นใหญ่ ประชาธิปัตย์ท่านหนึ่งในคณะกรรมาธิการกิจการสภา ที่ดูจะภูมิใจเหลือเกิน กับการมีเอกสิทธิ์เหนือ การทำงานของปวงชนคนธรรมดา อย่างนักเรียน, พนักงานเงินเดือนทั่วประเทศ ..มาดูกันจริงๆว่า เค้าสามารถทำงานอย่างไรก็ได้ ตามที่ได้กร่างออกมาหรือไม่?

.

.

◾ เอกสิทธิ์ (Parliamentary Privilege) ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร = ความคุ้มกันทางกฎหมาย (Legal immunity) จากการฟ้องร้องทางแพ่งหรืออาญาจากการกระทำหรือคำพูดที่เกิดขึ้นระหว่างการทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ตามมาตรา 124 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งสมาชิกมีเอกสิทธิ์ที่จะไม่ถูกดำเนินคดี ...เอกสิทธิ์ถือเป็นเรื่องปกติในประเทศที่ใช้รัฐสภาในระบบเวสต์มินสเตอร์ เช่น ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย หรือ ประเทศไทย

.

.

ที่มาคือ ในปี ค.ศ. 1688 ประเทศสหราชอาณาจักร มีการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ หรือ Bill of Rights ขึ้น อนุญาตให้สมาชิกสภาขุนนางและสภาสามัญชนพูดได้อย่างเสรีระหว่างการดำเนินการทั่วไปในสภา โดยไม่ต้องเกรงกลัวที่จะถูกดำเนินการทางกฎหมายในข้อหาหมิ่นประมาท หมิ่นศาล หรือละเมิดพระราชบัญญัติความลับทางราชการ เอกสิทธิ์นี้ยังให้การคุ้มครองสมาชิกรัฐสภาไม่ให้โดนจับกุมในคดีแพ่งจากคำพูดหรือกระทำในฐานะสมาชิกสภาฯ ภายในอาณาบริเวณของพระราชวังเวสต์มินสเตอร์

.

.

เมื่อพิจารณาดู วัตถุประสงค์ของเอกสิทธิ์สส. คือเครื่องมือในการส่งเสริม Free-Speech โดยมิให้เกรงกลัวกับอำนาจใด ที่มาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติ อภิปรายในห้องประชุมสภา ..นอกห้องประชุมสภา จะไม่คุ้มครองทันที (ดั่งที่สส. พรรคก้าวไกล รังสิมันต์ โรม โดนดำเนินคดี หมิ่นประมาท เมื่อออกมาอภิปรายนอกห้องประชุมสภา)

.

.

แท้จริงแล้ว เอกสิทธิ์ของ สส. คือเครื่องมือเพิ่มการทำงาน มิใช่เครื่องมือ การวางตัวเหนือกฎหมาย เพื่อที่จะไม่ทำงาน อยากจะเข้าประชุม-แสดงตนตอนไหนก็ทำตามใจชอบ ..ซึ่งตรงข้ามกันกับวัตถุประสงค์ และเจตุจำนงค์ของการมีเอกสิทธิ์ สส. โดยสิ้นเชิง

.

.

◾ เพิ่มเติม เอกสิทธิ์คุ้มครองนี้ไม่มีผลกับคดีอาญา ที่ก่อจากการกระทำความผิดนอกสภาในหลายๆประเทศ เช่น สกอตแลนด์, เวลส์, อเเมริกา และอีกหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว

.

.

ขณะที่ประเทศไทย เอกสิทธิ์ยังคุ้มครอง สส. คครบจบตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อยังอยู่ในสมัยประชุม.. โดยไม่สนว่าเป็นคดีอาญาอะไร หรือ ผิดจริยธรรมในการประชุมร้ายแรงแค่ไหน


ไม่แปลกใจ ทำไมที่สส.ไทยบางคน คุณภาพพังพินาศ แต่บังอาจเคลมเอกสิทธิสส. เต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบผิดๆขนาดนี้ ..ถึงขนาดว่าอยากเล่นกอล์ฟ เวลาโหวตร่างพรบ.กฎหมาย ก็หายตัวจากห้องประชุมได้ ไม่ต้องแคร์สื่อ

.

.

#สภาล่ม 17ครั้ง คือข้อยืนยันที่ดีที่สุด


ประเทศเรา เสียหายไปแค่ไหน


กอดเอกสิทธิ์ท่านให้แน่น แล้วคิดซักนิด..


มันคือเครื่องมือในการทำงาน


อย่าพาลใช้มันในการอู้ ไม่ทำหน้าที่อีกเลย..

"เจอ ไม่แจก จบ" ...ผู้ป่วยสูงวัย ต้องได้รับยาโดยไว!

ในวันที่ยอดผู้ติดเชื้อ เฉียดแสนราย ยังมีผู้ป่วยกลุ่มหนึ่ง ที่โดนละทิ้งการดูแลอย่างต่อเนื่อง ก็คือ กลุ่มผู้ป่วยสีเหลือง ที่อายุมากกว่า 60ปี... จะHome Isolation ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับ ..จะไปรับยา OPD ก็ไม่แจก เพราะบอกต้องให้พยาบาลจ่ายยา


◼️ สถิติบอกชัด ผู้เสียชีวิตจากการระบาดรอบล่าสุด มากกว่า 70% มีอายุมากกว่า 60 ปี

.

.

เชื่อครับ ว่าหน่วยงานที่ดูแลทำงานเต็มที่... จากที่ผมไปสังเกตุการณ์ที่สถานีอนามัยหลายแห่ง แน่นขนัดไปด้วยเจ้าหน้าที่ และผู้คน... พบว่ามีญาติผู้ป่วย บางท่านก็ผู้ป่วยเองใส่ชุดPPE หิ้วลูกน้อย ออกมาต่อคิวรับยากันแทบครึ่งวัน.. ตามระบบ OPD (Outpatient with Self Isolation) แบบใหม่ คือการดูแลแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักตัว “เจอ แจก จบ” แทนที่ระบบการ Home Isolation ที่ส่งยาไม่ทันแล้ว

.

.

สำหรับผู้ป่วยสีเขียว ระบบนี้ดีครับ รอนานแต่ได้ยา "เจอ แจก จบ" จริง... แต่กรณีที่จะชี้ ก็คือพอเป็นผู้ป่วยสูงอายุ เกิน60ปี แม้จะอาการหนักขนาดไหน เดินเซๆไปรับยาที่ศูนย์อนามัย เค้าไม่ให้นะครับ!! ...กลาายเป็น "เจอ ไม่แจก จบ" เพราะพยาบาลที่ศูนย์บอกว่าเป็นระเบียบ ไม่ออกยาให้ผู้ป่วยสีเหลือง

.

.

ตรงนี้ที่ผมว่า "Something goes wrong" ผิดเพี้ยนไปหมด แทนที่จะให้ความสำคัญกับกลุ่มที่มีแนวโน้มจะป่วยหนักกว่า อย่างกลุ่มสูงวัย ...ทางสปสช. ยังให้คงมาตราการ protocolเดิม ให้จนท.แพทย์โทรถามอาการ จึงจะสามารถจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ได้ .. ซึ่งในเวลานี้ ผู้ป่วยสูงวัยทุกคนที่ร้องเรียนเข้ามา ไม่ได้รับการติดต่อกลับแม้แต่เคสเดียว!!! (ครอบครัวผมก็หนึ่งในนั้น)

.

.

ไม่ได้ฝันหวาน ถึงยาชั้นดี อย่าง Remdesivir ที่รักษาอาการให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ราคาเป็นหมื่น.. อาหารส่งบ้าน 3มื้อ... ขอแค่เอายาฟาวิพิราเวียร์ ของที่ไทยมี แจกจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น

.

.

◼️ ทางออกก็ง่ายๆ แค่ สปสช. ลดข้อบังคับเดิม เรื่องการพินิจพิเคราะห์กับการจ่ายยา เป็นรีบจ่ายยาให้ผู้ป่วยสีเหลือง - สีแดงให้เร็วที่สุด ก่อนใคร ..ลดขั้นตอน ยุ่งยากเดิมๆ เนื่องจากบุคคลากรณ์คุณไม่พอแล้ว


ไม่ต้องวินิจฉัยอะไรมาก แค่ซักถามว่าเค้ามีโรคประจำตัวมั้ย เป็นโรคไตรึปล่าว??


ถ้าไม่มีอะไรรุนแรง รีบแจกยาให้โดยไว ..ไม่ใช่สัญญาจะติดต่อคนไข้ แล้วปล่อยรอ

.

.

หลายคนรอเป็นสัปดาห์ จนหายเองได้


อีกหลายราย รอจนอาการหนักลงปอด


..ชีวิตคนจะรอดไม่รอด อยู่ที่ท่านนะครับ

ถอดรหัส เปลวเพลิงรีสอร์ทหรู #เกาะกูด 🏝️🔥

อัคคีภัย และสิ่งปลูกสร้าง เป็นของแสลงซึ่งกันละกัน มานมนาน... ซึ่งในทางกฎหมายสิ่งปลูกสร้างอาคาร ก็มีข้อบังคับเรื่องกันไฟไหม้อย่างเข้มงวด ไม่ว่าตึกแถว, บ้านแฝด, อาคารพานิชย์เล็กๆ ..แต่เหตุใดโรงแรมระดับ 6ดาว คืนละหลายแสนบาท ที่เกาะกูด จึงถูกเพลิงไหม้เป็นจุล โดยที่ผู้พักอาศัย ไม่ได้ยินสัญญานเตือนภัยใดๆ.. เคราะห์ดีที่ไม่มีใคร ได้รับอันตรายรุนแรง

.

.

ปัญหาเรื่องนี้ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าต้องมีขั้นตอนการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ต่อไป ว่ามีความผิดพลาดจากส่วนไหน ไม่ว่าเป็นฝ่ายวิศวกรผู้ดูแลงานระบบ M&E, สถาปนิกผู้เซ็นต์แบบก่อสร้าง, สำนักงานเทศบาลในพื้นที่ ที่เซ็นต์อนุมัติ ..รวมไปถึงเจ้าของโครงการเอง ...ใครผิด ก็ว่าไปตามกระบวนการนะครับ

.

.

วันนี้เรามาดูสิ่งที่เป็นข้อเรียนรู้ และแนวทางแก้ไข จากเหตุอัคคีภัยที่เกิดขึ้น


#1: ว่าด้วยเรื่องวัสดุทนไฟ


รู้มั้ยครับ กฎหมายอาคาร หมวดที่2.1 เรื่องวัสดุของอาคาร (จากกรมโยธาธิการและผังเมือง) ข้อที่ 15 ว่าไว้ว่า.. หากเป็นอาคารโรงแรม "เสา, คาน, พื้น, บันได ต้องทำด้วยวัสดุถาวรที่เป็นวัสดุทนไฟด้วย" ...ข้อนี้ตัวรีสอร์ททำจากไม้แทบทั้งหลัง ซึ่งไม้เป็นวัสดุติดไฟง่ายอยู่แล้ว ..จึงน่าคิดว่าสามารถผ่านการอนุมัติมาอย่างไร?

.

เพิ่มเติมอีกหน่อย.. คำว่า "วัสดุทนไฟ" ของกฎอาคารไทย นิยามไว้คร่าวๆมากว่า "วัสดุก่อสร้างที่ไม่เป็นเชื้อเพลิง" ...ซึ่งแท้จริงแล้วควรเขียนให้ครอบคลุมในเชิงวิทยาศาสตร์กว่านี้ ว่าวัสดุที่เข้าเกณฑ์ ควรมีค่าสัมประสิทธิ์อิงจากมาตราฐานสากลอยู่ที่เท่าไหร่

.

.

#2: ว่าด้วยเรื่องระบบเตือนอัคคีภัย


หากอาคารใดที่มีพื้นที่ใช้สอยเกินกว่า 2,000ตร.ม. ตามข้อบังคับข้อที่5 ต้องมีระบบสัญญาณเตือนอัคคีภัยทุกชั้น.. และตามข้อ 6.1 บอกไว้ชัดว่า อุปกรณ์ส่งสัญญานเตือนภัยต้องส่งเสียง หรือสัญญาณให้คนในตัวอาคารได้ยิน โดยทั่วถึง

.

เอาล่ะตัวอาคารนี้ พื้นที่ใช้สอยอาจไม่ถึง 2พันตร.ม.ดี แต่ถ้าพิจารณาจากความเป็นสถานประกอบการโรงแรม การติดตั้งสัญญาณอัคคีภัยเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ยิ่งกับอาคารโครงสร้างไม้แทบทั้งหลังแบบนี้...

.

นอกจากติดตั้งแล้ว การเช็คสภาพ ซ้อมหนีไฟทุกปี ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำเข้มงวด แม้ในช่วงโควิด ที่หลายโรงแรมอาจซึมเซา จนอาจหย่อนยานเรื่องการตรวจสอบระบบเหล่านี้...

.

.

#3: ว่าด้วยแนวทางการส่งเสริม


เรื่องนโยบายการส่งเสริมการใช้วัสดุทนไฟ ในหลายประเทศจริงจังกว่าเรามาก.. อย่างประเทศแคนนาดา มีการผลิต“Fire-retardant treated wood” (FRTW) สารเคลือบผิวไม้ ที่ลดการลามของเปลวเพลิง (ดัชนีต่ำกว่า 25) และลดจำนวนควันเมื่อเกิดการเผาไหม้

.

หรือประเทศในแถบแสกนดิเนเวีย ที่เอื้อให้มีป่าปลูกไม้ที่ทนไฟ ได้ดี อย่างมาฮอคกานี, เมเปิ้ล และวอลนัท และเพิ่มเทคโนโลยีดัดแปลงให้เพิ่มคุณสมบัติตต่างๆที่อุตสาหกรรมอื่นๆต้องการใช้งาน เช่น ทนความชื้น ทนแมลง เป็นต้น

.

ประเทศไทยควรส่งเสริม-สนับสนุน แนวทางการสร้างวัสดุทนไฟจากธรรมชาติแบบนี้ และใส่วิทยาการ เพื่อใช้ในงานก่อสร้างในประเทศ ที่ปลอดภัยขึ้น และยังเป็นการสร้างโอกาสทางการค้า ในอุตสาหกรรมสิ่งก่อสร้าง ในระดับสากล

.

.

ทุกเหตุการณ์หากเราเรียนรู้ และแก้ไข


เอากรณีศึกษาไปปรับใช้ เป็นโอกาสได้เสมอ


อย่าให้วัวหายล้อมคอก.. ไฟคลอกรีสอร์ทฟรีๆ อีกเลย

ยากรูอยู่ไหน?? ...บั๊คในระบบ Home Isolation

หลายเคสผู้ป่วย ที่ผมเจอหลังๆก็คือ เมื่อลงทะเบียนรักษาตัวที่บ้าน (Home Isolation) แต่ปรากฏไม่มียา และอาหาร 3มื้อ มาส่งจริงตามนัด... เรื่องนี้สำคัญเกินกว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จะรับเรื่องแบบขอไปที แล้วเทผู้ป่วยกลางคัน เพราะนี่คือหลายชีวิตที่ต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย


บางเคสรอเป็นสัปดาห์ จากผู้ป่วยสภาพดี-สีเขียว จนอาการกำเริบหนัก สภาพแย่ กลายเป็นผู้ป่วยสีเหลือง... บางเคสก็รอยาวไป จนหายเอง ยังไม่เคยเห็นจ่าหน้าซองยา แม้แต่ครั้งเดียว


#ระบบการส่งยาต้องจริงจังกว่านี้ ในกระบวนการHI.. เทียบง่ายๆ ทุกวันนี้เราสั่งซื้อเสื้อออนไลน์ในช้อปปี้ ของยังมาส่งได้วันรุ่งขึ้น.. ขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ ที่จำเป็นสุดๆ ดันได้รับล่าช้าเป็นสัปดาห์ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าการจัดการมีปัญหา


◾ เชื่อมั้ย? อย่างประเทศอเมริกา Amazon ประกาศปิดส่งสินค้าทุกประเภทที่ไม่จำเป็น เพื่อการลำเลียงสินค้าสาธารณสุขจำเป็นอย่าง ยารักษาโรค หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ทั่วประเทศเค้าก่อน ...นั่นเป็นเพราะเค้า Pioritize ให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพผู้คนเหนือสิ่งอื่นใด


ปัญหา Home Isolation เกี่ยวโยงกับระบบสาธารณสุข และการจัดสรรข้อมูลของภาครัฐ โดยตรง.. ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไขให้ไวที่สุด เพราะทุกนาทีมีผู้ป่วยอาการหนักซึ่งชีวิตของประชาชนเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับการจัดการวิกฤติ อย่างมีประสิทธิภาพ



จากข้อมูลสายด่วน สปสช.1330 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ จนถึง วันที่ 1 มีนาคม 2565 จำนวนการโทรเข้าสายด่วน สปสช.1330 แต่ละวันยังคงอยู่ที่ระดับ 40,000-70,000 สาย เช่นเดียวกับช่องทาง Non Voice หรือสื่อสารผ่านไลน์ สปสช. และ Facebook สปสช. ก็เฉลี่ยวันละกว่า 9,000 รายเช่นกัน


ด้วยผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นกว่าสองหมื่นรายต่อวัน โดยวันที่ 1 มีนาคม มีจำนวนสายโทรเข้ามากที่สุดสูงถึง 70,300 สาย และช่องทาง Non Voice กว่า 12,000 ราย ซึ่งทางสปสช.เอง ยอมรับว่าเป็นจำนวนเกินศักยภาพที่ระบบจะรองรับได้


แนวทางแก้คือ สปสช. ควรดึงเอกชน และประชาชนอาสาสมัครเข้ามามีส่วนร่วมกว่านี้...


1) ผนวกเพิ่มความร่วมมือ กับองค์กรเอกชนด้าน Logistic


ดึงเอามือพระกาฬอย่าง Grab, LineMan, Lalamove, Kerry, J&T และอีกมากมาย เขามามีส่วนร่วมในการจัดส่งยาและอาหาร ในระบบ Home Isolation... เพราะทุกองค์กรเอกชน ย่อมอยากมีแคมเปญ CSR (Corporate Social Responsibility) ตอบแทนสังคมอยู่แล้ว ...ซึ่งเอกชนรายนั้นก็จะได้ภาพลักษณ์ช่วยสังคม ขณะเดียวกันก็ช่วย เติมเต็มประสิทธิภาพการแจกจ่ายยาของ สปสช. ได้อีกมากโข ...จากที่ก่อนหน้านี้พาร์ตเนอร์กับแค่กับ ไปรษณีย์ไทยเจ้าเดียว ซึ่งไม่เพียงพอ


2) เปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้ปชช.ช่วย "อาสาลำเลียงยา"


ก่อนหน้านี้ สปสช. ไม่เคยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม... มีแต่ประชาชนวิ่งเข้าหา เพื่อขออาสาส่งความช่วยเหลือผ่านเพจหมอ หรือผ่านบุคคลากรณ์การแพทย์ที่ตนรู้จัก แต่ในสถานการณ์นี้ปริมาณความต้องการยา เกินกว่าที่ระบบฝากๆกัน จะทำงานได้ทัน.. สปสช. ควรเปิดลงทะเบียน "อาสาลำเลียงยา" อย่างเป็นจริงเป็นจัง ...ให้ประชาชนที่มีความพร้อมช่วยกันดูแล นี่เราพูดถึงจำนวนแรงงานอาสาทั่วประเทศกว่า 5หมื่นคน ที่เข้ามาช่วยแก้วิกฤติ


ย้ำชัดๆอีกครั้ง...

ระบบHome Isolation ต้องจริงจัง มีประสิทธิภาพกว่านี้

หากเกินกำลังรัฐ ต้องเปิดโอกาส ให้ฝ่ายอื่นมีส่วนร่วม

ก่อนที่ชีวิตใครอีกหลายคน ต้องสูญเสีย


▬▬

#หมดเวลาดราม่า #เดินหน้าเศรษฐกิจ

#ลอรี่ไม่รีรอ #สวนหลวงประเวศ

ถึงเวลา? คนไทยได้ Wifiฟรี.. #เศรษฐกิจดิจิตัล

ว่ากันว่า ความเร็วการพัฒนาในโลกยุคนี้ แปรผันตรงตามสปีดอินเตอร์เนต..


ยุคนี้...คุณลืมกระเป๋าตัง ยังใช้ชีวิตภายนอกได้ โดยการโอนเงินผ่าน mobile banking

ยุคนี้...เดินทางเปลี่ยวๆ ไม่ต้องรู้เส้นทาง เปิดGoogle Map ก็ยังถึงที่หมายได้

ยุคนี้.. ทำอาหารไม่เป็น ก็ยังสรรค์สร้าง มื้อเมนูอร่อย ตามเชฟในYoutubeได้

ยุคนี้.. ขายของหน้าร้าน แทบไม่ไหว แต่ไลฟ์ขายออนไลน์ แปปๆ CFจนหมดร้าน

ยุคนี้.. เด็กนักเรียน แม้ไปรร.ไม่ได้ แต่ก็เข้าคลาสออนไลน์ เรียนรู้ได้ทั้งเทอม

.

.

เห็นมั้ยครับ ธุรกรรมทั้งหมดทั้งมวลนี้ จะมีไม่ได้.. ถ้าขาดเจ้า อินเตอร์เน็ตไร้สาย หรือ "Wifi" ที่เป็นทุกอย่างให้คนเมืองปัจจุบันแล้ว


แม่ค้าขายไม่ได้ ไม่ต้องปิดกิจการไปดื้อๆ


เด็กเรียนหนังสือไม่ได้ ก็ไม่ต้องลาออก เสียอนาคตเค้า


แก้ปัญหาทั้งทางการค้า, การทำงาน, การศึกษา, สังคม, ความปลอดภัย และการสื่อสารในชีวิตประจำวัน... เรื่องใหญ่ๆทั้งนั้นด้วย infrastructureเดียว คืออินเตอร์เนตไร้สาย ที่ชาวไทยเข้าถึงได้

.

.

ไม่ต้องเอาเร็วสุดแรงเกิด ขนาดนั่งดูซีรี่ย์คมชัด Full HD ..แค่เอาพอใช้งานได้เมื่อจำเป็น

.

.

มาดู 5 ประเทศ ที่มีไวไฟฟรี บริการชาวบ้าน ดูว่าความเร็วประมาณไหนกัน


◾ อเมริกา [หลายเจ้า] ความเร็วเฉลี่ย 6.89/ 4.37 Mb (ดาวน์โหลด/ อัพโหลด)


◾ โปรตุเกส [Go Wi-Fi] ความเร็วเฉลี่ย 7.43/ 2.55 Mb (ดาวน์โหลด/ อัพโหลด)


◾ สิงคโปร [Wireless@SG] ความเร็วเฉลี่ย 9.49/ 5.41 Mb (ดาวน์โหลด/ อัพโหลด)


◾ เบลเยี่ยม [Wifi.Brussels] ความเร็วเฉลี่ย 10.07/ 3.22 Mb (ดาวน์โหลด/ อัพโหลด)


◾ ลิโธเนีย [หลายเจ้า] ความเร็วเฉลี่ย 15.4/ 14.17 Mb (ดาวน์โหลด/ อัพโหลด)

.

.

นอกจากความเร็วแล้ว ประเด็นเรื่อง coverage ความครอบคลุมก็สำคัญเช่นกัน ...การติดตั้งตำแหน่ง Hotspot เพื่อกระจายสัญญานไวไฟในเมือง ทั่วไปควรมากกว่า 10,000จุด โดยเฉพาะจังหวัดกรุงเทพ หรือหัวเมืองใหญ่ในไทย ควรติดตั้งซัก 20,000จุด เพื่อสัญญานที่คลอบคลุมพื้นที่ทั้งเมือง... ลองดูตัวอย่าง อย่างเมือง เม็กซิโกซิตี้ ที่มีตัว Wifi Hotspot ถึง 21,500จุด ..สัญญาณไวไฟฟรี คลอบคลุมที่สุดในโลก ณ ขณะนี้

.

.

ของไทยเฉพาะในกรุงเทพ เราเคยมีแค่ "ICT Wifi" ที่พาร์ทเนอร์กับทาง ทรูมูฟ, "NT Free-Wifi" ที่ร่วมมือโดย กสท. ติดตั้งเราเตอร์ให้ใช้ฟรี ในกทม. 200จุด.. หรือโครงการ "เน็ตประชารัฐ" จากกระทรวงกระทรวงดิจิทัล ใช้งบประมาณดำเนินการถึง 1.5 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ ...ทั้ง 3ตัวอย่าง เป็นการให้บริการฟรีไวไฟแบบมีเงื่อนไข คือต้องสมัคร - รับรหัสผ่าน, สัญญาณไม่แรง และที่สำคัญคือ ไม่ครอบคลุมพื้นที่ในเมืองเพียงพอ

.

.

ผมอยากเห็น Wi-fi เป็นหนึ่งในสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ทุกท่านในเมืองสามารถ เข้าถึงอินเตอร์เน็ตพื้นฐาน.. ไม่ต้องเร็วมาก ขอแค่ 1mb/ 1mb พอเล่นเน็ตได้ เรียนหนังสือรู้เรื่อง... และให้การกระจายสัญญาณ เข้าถึงประชาชน ทุกบ้านทุกหลังเป็นพอ.. โดยสามารถเริ่มนำร่องจาก กรุงเทพ หรือหัวเมืองใหญ่ตามภาคต่างๆ อย่าง เชียงใหม่, โคราช, ชลบุรี หรือ ภูเก็ต ก่อนในเฟสแรก



ทั้งหมดนี้ ให้ประชาชนสามารถค้าขายออนไลน์ได้ - ลูกหลานเรียนออนไลน์ได้ ..เพราะนี่อาจคือการลงทุนที่ดีที่สุด ในอีก 30ปีข้างหน้าของภาครัฐ ในการสร้างสาธารณูประโภคที่ขับเคลื่อนประเทศ ในมุมดิจิตอลระยะยาว...


ไทยเราต้องเตรียมพร้อมแต่วันนี้ เพราะโลกยุคหน้า วัดกันโหดกว่า


เมื่อทั่วโลกเค้า มีเมต้าเวิร์ส, Decentralized Platform


ไม่ใช่แค่เว็บ 2.0 ที่เราเห็นในนี้อีกต่อไป

แก้ตรงไหนถึงจะโฟลว์ กับทางด่วน #MFlow

เสียงบ่นกร่นด่า มาอย่างต่อเนื่อง... จะเป็นใครไปได้ ก็ "M-Flow" ระบบทางด่วนใหม่ ไร้ที่กั้น-คนเก็บเงิน จริงๆแล้วเจ้าM-Flowนี้ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่อะไรนัก คือช่องทางด่วนไร้คนเก็บเงินปกติ แต่เพิ่มเจ้าเทคโนโลยี ANPR (Automatic number plate recognition) คือระบบการบันทึกป้ายทะเบียนรถ จากกล้องความเร็วสูง ซึ่งAIจะสามารถจับเลขทะเบียนอย่างแม่นยำ ภายใต้รถความเร็วไม่เกิน 120กม/ ชม.


ประโยชน์น่ะมี แต่ปัญหาที่ผู้ใช้ทางด่วนเจอจริงๆ.. กลับกลายเป็นปัญหาจุกจิก เช่น

.

.

◾ การสื่อสารที่ไม่เข้าถึงพอ


ผมว่าการประชาสัมพันธ์เป็นจุดอ่อนที่เด่นชัดที่สุด ตัวด่านแบบใหม่ไม่ได้ผิดอะไร.. แต่เมื่อคุณปรับผลิตภัณฑ์ทางด่วนแบบเดิม ที่คนเค้าโดยสารกันมานาน.. เช้าวันรุ่งขึ้น อยู่ๆก็เปลี่ยนโดยไม่บอกกล่าว ไม่แปลกครับ ที่มนุษย์ผู้ใช้ถนนอยู่ทุกวันเค้าจะไม่รู้ ว่าเกิดอะไรขึ้น.. ก็อยู่ๆไม่มีไม้กั้น จะเบรคชะลอก็เกรงใจคันหลัง ก็ต้องเข้าไปมันอย่างงั้น.. สุดท้ายนำมาสู่ค่าปรับ ที่เป็นปัญหา


ควรประชาสัมพันธ์มากกว่า แค่เอาคนมายืนแจกใบปลิว.. ลองซื้อสื่อตามถนน ป้ายบิลบอร์ด มากกว่านี้เพื่อสื่อสารกับผู้ใช้เส้นทาง หรือง่ายกว่านั้น ใส่โฆษณาM-Flowไว้ในตั๋วทางด่วน และให้พนักงานเก็บเงินพูดแนะนำ ล่วงหน้าก่อนซัก 2เดือน เพื่อเพิ่มAwareness อย่างมีแบบแผน ..ไม่ใช่มาบอกเมื่อวาน วันนี้เริ่มเลย

.

.

◾ ค่าปรับที่ลงโทษหนักหน่วง


โดยปรับถึง 10เท่า ถ้าไม่ชำระภายใน 2วัน และยังมีมากกว่านั้น.. ถ้าคุณไม่ชำระเกิน 12วัน คุณอาจโดนปรับเพิ่มอีก 5000บาท .. เฮ้ย อันนี้ก็ขูดรีดผู้ใช้เกินไป ยังกะมิฉฉาชีพ.. โดยเฉพาะนี่คือระยะพึ่งเริ่มใช้ หลายผู้ขับขี่เดินทางช่องทางแบบเดิมทุกวัน เจอหยั่งงี้ก็ลงทะเบียน M-Flow กันไม่ทันซิครับ..


แต่ก็ยังดีที่กระทรวงคมนาคม ประกาศคืนเงิน ชะลอการจ่ายค่าปรับสำหรับผู้เสียรู้ในช่วงแรก.. ผิดพลาดไปไม่เป็นไร แก้ไขเร็วก็ถือว่าดีครับ

.

.

◾ สับสนเรื่องการชำระเงิน


หลายผู้ใช้ร้องทุกข์เรื่องการชำระเงิน โดยเฉพาะกลุ่มที่วิ่งผ่านM-Flow แต่ไม่ได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกไว้ก่อน.. เมื่อเข้าไปในเว็บพยายามจ่ายเงิน ก็เจออุปสรรคที่ว่า "คุณไม่ได้เป็นสมาชิก ไม่สามารถจ่ายได้" อีก


ซึ่งความสับสนนี้ ควรแก้ไขในเชิง UX จัดให้หน้าชำระเงิน มีการชำระแบบสมาชิก และออปชั่นสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้สมัคร ตั้งแต่หน้า Landing page ให้คนที่มีเจตจำนงค์ในการจ่าย เค้าได้แสดงหน้าที่

.

.

ย้ำอีกครั้งว่าM-Flow ไม่ได้มีแต่ข้อแย่... ต่างประเทศเค้าเรียกระบบแบบนี้ว่า Open Road Tolling (ORT) คือด่านทางด่วนที่ไร้ด่าน เป็นเหมือนถนนทางด่วนปกติเลย ที่มีโครงเหล็กด้านบนเป็นแนวโค้ง ติดตั้งเซนเซอร์ANPR ไว้เฉยๆ ข้อดีก็คือ

.

.

1) ลดการใช้เงินสด - เมื่อลดการใช้เงินสด ก็เท่ากับว่าประหยัดเวลาทอนเงินไปมา บางทีทอนผิดทอนถูก เพราะHuman Errorเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา.. บางประเทศที่มีปัญหาเรื่องธนบัตรปลอม ก็ไม่ต้องกังวล ลดความเสี่ยงการได้รับแบงค์ปลอมออกไป


2) ลดค่าใช้จ่าย - ค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคคลากร พนักงานเก็บเงิน-เจ้าหน้าที่ดูแลป้อม ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลยทีเดียว.. เจ้าของกิจการทางด่วนจะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายนี้ลง


3) ลดเวลา - เพราะรถที่ผ่านทาง วิ่งฉิวแบบไม่ต้องชะลอความเร็ว ซึ่งช่วยระบายรถโดยสารได้ถึง 2,000 - 2,500 คัน/ชม./ช่องทาง เร็วขึ้นกว่าระบบเดิมที่ใช้อยู่ถึง 5 เท่า


4) ลดการใช้เชื้อเพลิง - ดีต่อสิ่งแวดล้อมตรงที่ รถยนต์จะผ่านด่านเก็บเงินปกติ ต้องชะลอความเร็วและหยุด ซึ่งตรงนี้เหมือนถึงการสูญเสียเชื้อเพลิง และเพิ่มควันดำ... ขณะที่ด่านไร้คน จะไม่มีการสิ้นเปลือง เพราะรถที่จะผ่านไม่ต้องลดความเร็ว ..มองดูสเกลเล็กๆอาจคิดว่าจะเท่าไหร่กัน แท้จริงแล้วถ้ามองภาพรวม รถยนต์ในประเทศไทยใช้ทางด่วนทั้งหมด 664ล้านคัน/ปี ลองคิดว่าเราประหยัดพลังงานได้แค่ไหน

.

.

ดีรอบด้านขนาดนี้ ไม่แปลกที่นานาประเทศพัฒนาที่แล้วทั่วโลก ก็มุ่งใช้ระบบนี้กัน ..หวังว่า M-Flow ของไทย จะปรับตัวและคำนึงถึงผู้ใช้รถใช้ถนนมากขึ้น เพราะไม่งั้นต่อให้เทคโนโลยีดีเลิศแค่ไหน ถ้าเข้าไม่ถึงใจผู้บริโภค ไม่รู้จักพฤติกรรมผู้ใช้ทางด่วนไทยจริงๆ ก็จะเกิดปัญหาขุ่นเคือง เรื่องความไม่เชื่อใจ


จากM-Flow อาจกลายเป็น M-Fraud


บริการปลอมๆ ที่ผู้ใช้ไม่ไว้ใจอีกต่อไป

ปลุกมนุษยธรรมในตัวคุณ… จาก “โรฮิงญา” สู่ “ตากใบ-กรือเซะ”

เรื่องราวผู้อพยพ #โรฮิงญา ชนกลุ่มน้อยมุสลิม เชื้อสายพม่า ที่ต้องร่อนเร่ อพยพลี้ภัยสู่ประเทศมาเลเซีย ในปี 2558... กลายเป็นประเด็นตีแผ่สู่สังคม ถึงเรื่องความโปร่งใสของภาครัฐ และการปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างไม่มีมนุษยธรรม …ซึ่งแน่นอนเมื่อสังคมตื่นรู้ ย่อมเป็นเรื่องดี ที่สังคมให้ความสำคัญกับชีวิตเพื่อนมนุษย์ ที่แม้ มิได้เป็นเชื้อชาติ-สายเลือดเดียวกันก็ตาม

.

.

ความเสียหายที่พบ คือ 36 ร่างศพของชาวโรฮิงญา ที่ถูกฝังอยู่ในหลุมศพ บริเวณเทือกเขาแก้ว อ.ประดังเบซา จ.สงขลา.. จากการชันสูตร ส่วนมากเสียชีวิตจากการขาดน้ำ และอาหาร ..สันนิษฐานได้ว่า อาจเป็นการเสียชีวิตจากการเดินทางบนเรืออันยาวนาน หรืออาจเป็นการถูกหน่วงเหนี่ยว มีอันให้ถึงแก่ชีวิตก็ตาม...

.

.

ทำให้ผมย้อนคิดถึง โศกนาถกรรมเก่าเมื่อ18ปีก่อน ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์...


แต่เพื่อนมนุษย์คราวนี้คือ "พี่น้องไทย" เชื้อสายมุสลิม


จาก 2เหตุการณ์รุนแรงที่ #ตากใบ จังหวัด นราธิวาส และ #กรือเซะ มัสยิดใน อ.เมือง จ.ปัตตานี ...ความสูญเสียนั้นหนักหนายิ่งนัก

.

.

◾ 120ศพ จาก 2เหตุการณ์ เป็นผู้เสียชีวิตชาวไทย


◾ 7คน ถูกฆ่าโดยกระสุนจริง ขณะสลายการชุมนุมหน้า สภอ. ตากใบ


◾ 32ศพ ถูกเจ้าหน้าที่ฆ่า ขณะหนีหลบภัยในมัสยิดกรือเซะ


◾ 1,370คน ถูกควบคุมตัวโดยจับมัดแก้ผ้า นอนทับกันบนรถบรรทุก


◾ 85ศพ ตายเพราะขาดอากาศหายใจ ขณะทับกันบนรถ 5ชั่วโมง


และ


◾ 0 เจ้าหน้าที่ ถูกดำเนินคดี จากเหตุการณ์รุนแรงนี้

.

.


ในจำนวนผู้ตาย/ผู้เสียหาย จำนวนมากที่ถูกควบคุมตัว เป็นเพียงชาวบ้าน-ไทยมุงธรรมดา... อย่างนาย มามะรีกะห์ บินอุมา ชาวอำเภอตากใบ ที่เฉียดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น.. บอกว่าเค้าไม่มีวันลืม คนบริสุทธิ์ที่ตายต่อหน้าต่อตา เพราะต้องนอนทับกัน 60กว่าชีวิตในรถ 1คัน เป็นเวลา 5ชม. ...หลายคนอุจารระราด, ปัสสาวะราด เพราะขาดอากาศหายใจ แม้ทุกคนจะช่วยพลิกตัวเพื่อให้ร่างคนที่ถูกทับด้านล่าง ได้อากาศบ้าง... แต่ก็ดูเหมือนสายเกินไป

.

.

คำถามทั้งหมดย้อนกลับมาว่า การใช้กำลังทางการทหารสมัยนั้น (ภายใต้ นายกรัฐมนตรี: ทักษิณ ชินวัตร, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด: พล.อ. ชัยสิทธิ์ ชินวัตร, รองผู้อำนวยการกองกำลังความมั่นคงภายใน: พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ) กระทำการต่อประชาชน เกินขีดความเป็นมนุษย์ไปหรือไม่?

.

.

หากท่านเป็นหนึ่งในคนที่เห็นในคุณค่าชีวิตมนุษย์... เห็นว่า "หัวใจคือประชาชน" ที่แท้ทรู ไม่ใช่งูๆปลาๆแบบนี้ ...ท่านคงตระหนักได้ว่า ควรมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เพราะชีวิตพี่น้อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศเรา ถูกปฏิบัติยิ่งกว่าโรฮิงญา ...ราวกับว่ากับไม่ใช่เสรีชนชาวไทย

.

.

ข้อเสนอแนะของผม วันนี้คือ


1) ยกเลิกใช้ "กฎอัยการศึก" 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยทันที


การใช้กฏอัยการศึก เป็นชนวนที่ทำให้เกิดความรุนแรง เพราะเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมใครก็ได้ ถึงหนึ่งสัปดาห์ โดยมิต้องมีหมายศาล (เหมือนเหตุการณ์เริ่มต้น คดีตากใบ)... สิ่งเหล่านี้ นอกจากเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ ที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของมนุษย์โดยตรง ยังเป็นการไม่ให้เกียรติชาวบ้านภาคใต้ ทำลายบรรยากาศความผาสุก ในพื้นที่

.

.

2) ใช้เจ้าหน้าที่ ที่มีวัยวุฒิประจำการ


เจ้าหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติงานในพื้นที่ 3จังหวัดภาคใต้ ส่วนใหญ่จะเป็นน้องทหารเกณฑ์ และทหารพราน ที่อายุน้อย... เป็นธรรมดาที่อาจมีอารมณ์โทสะ ทำให้บางครั้งขาดวิจารณญาณ ขณะปฏิบัติหน้าที่... เหมือนที่เกิดขึ้นใน 2 โศกนาฏกรรม ที่เกิดความรุนแรงเมื่อประทะกับชาวบ้านจนเกิดความสูญเสีย ...จึงควรมอบหมายให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร ที่มีอายุงานเกิน 10ปี คอยควบคุมหมู่เหล่าย่อยๆ เพื่อเตือนสติทีมว่า เจ้าหน้าที่รักษาสันติราษฎร์ หน้าที่คือดูแลประชาชน

.

.

3) ใช้เทคโนโลยี แก้ปัญหา


รัฐควรแก้ปัญหาความรุนแรง โดยไม่ใส่ความรุนแรงลงไปเพิ่ม ...แต่เติมเทคโนโลยี ให้ประชาชน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีส่วนร่วมกับตำรวจ-ทหารมากขึ้น... มีเครือข่ายประชาชนที่คอยสอดส่อง รายงานความปลอดภัยโดยตรง กับเจ้าหน้าที่ทางออนไลน์ ...มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด ที่สามารถจับหน้าคน แล้วบ่งบอกชื่อ-นามสกุล (Facial Recognition) ลดการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ เท่ากับลดการเผชิญหน้า... แต่คอยจับตาจากศูนย์หลังบ้านอย่างดี

.

.

4) หาคนกระทำผิดมาลงโทษ


ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจะแสดงความรับผิดชอบเพียงทางแพ่ง ด้วยการเอาเงินยัดใส่ผู้เสียหาย... เอาควายแจก พร้อมเงินไม่กี่หมื่น อย่างที่ คุณ มามะรีกะห์ ผู้เสียหาย ที่รอดชีวิตถูกเสนอให้รับ และยอมความในที่สุด... ในความผิดด้านจริยธรรม การกระทำที่ไม่คิดถึงชีวิตชาวบ้านเยี่ยงนี้ ผู้บังคับบัญชาที่มีหน้าที่ตัดสินใจ ควรถูกรับโทษเพื่อเป็นบรรทัดฐานสังคม

.

.

นี่เป็นเพียงข้อเสนอ จากหนึ่งเสียงประชาชนที่เห็นค่าของชีวิตมนุษย์.. ไม่ว่าเค้าคนนั้นจะเป็นใคร ชาติไหน หรือนับถือศาสนาอะไรก็ตาม...


ขอให้ทุกชีวิตได้รับความเป็นธรรม และขอส่งดวงวิญญาณทุกท่านสู่สุขคติ


"อินนาลิลลาฮ์ วะอินนาอิลัยฮิรอญีอูน"

รู้หมือไร่? กับ "สภานฤมิตร"

◼️ รู้หมือไร่​? ในเมืองไทยมี "สภานฤมิตร​" ดินแดนพิศวง ..จำนวนสส.ที่เช็คชื่อเข้าไป ไม่สัมพันธ์กับจำนวนสส.ที่นั่งทำงานจริง

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? สัดส่วนการแสดงตนของสส. เฉลี่ยคือ ฝั่งรัฐบาล 55.43% ฝ่ายค้าน 22.71%

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? ค่าอาหาร-เครื่องดื่มรับรองสส. ตลอด 2วันประชุม เฉียด 1ล้านบาท

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? รายได้GDP เฉลี่ยคนไทย อยู่อันดับที่ 104ของโลก ..แต่รัฐสภาไทย ใช้งบประมาณการสร้างสูงถึง 1.2หมื่นล้านบาท!! ..สูงกว่าThe Capitol รัฐสภาตัวท็อปของโลก ที่วอชิงตัน ดีซี ที่ใช้งบเพียง 4.4พันล้านบาท

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? ปริมาณผู้เล่นในสนามกอล์ฟระแวกใกล้เคียง เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ขณะมีการประชุมรัฐสภา

.

.

◼️ รู้หมือไร่? ประชาชนทั่วไป ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถูกโทษ ตัดสิทธิการสมัคร และการดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง 2ปี ..ขณะที่ สส.ที่ถูกเลือกเข้ามาแล้ว ไม่มาทำงาน โหวตร่างกฎหมาย ยังไม่มีโทษทางวินัยแต่อย่างใด

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? การดีไซน์ห้องประชุมสภาไทย โออ่าใหญ่เกินจริง ทำให้บรรยากาศเหมือนห้องโถงใหญ่ ห่างเหิน ขาดการมีส่วนร่วม ทำให้รู้สึกว่าเดินออกนอกห้องเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครสนใจ.. ขณะที่รัฐสภาอังกฤษ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ให้สส.นั่งชิดติดตัวกัน เดินออกไปห้องน้ำคนมองเห็นกันหมด.. ไม่มีไมโครโฟน ใช้เสียงผู้พูดตะโกนอภิปรายจริง ทำให้ทุกคนต้องเงียบฟังตั้งใจฟัง

.

.

◼️ รู้หมือไร่? การออกกฎหมายสำคัญต่างๆ ต้องหยุดชะงักเพราะ"สภาล่ม” ได้แก่ การพิจารณาร่างพรบ. การศึกษา, ญัตติด่วนแก้ไขเรื่องวิกฤติ, ร่างพรบ. อนุญาโตตุลาการ, ร่างพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ, ร่างพรบ. กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 5ฉบับ, ร่างพรบ. ภาษีสรรพสามิต สุรา และอื่นๆอีกมาก

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? ตั้งแต่ 24 กค 2562 - 4 กพ 2565 "สภาล่ม" ทั้งสิ้น 16ครั้ง ผลาญภาษีไปทั้งสิ้น 66.8ล้านบาท

.

.

◼️ รู้หมือไร่​? รัฐสภาไทยมีชื่อทางการว่า "สัปปายะสภาสถาน" มีความหมายว่าสถานที่ประกอบกรรมดี

.

.

...ถ้าคุณรู้10ข้อ ขนาดนี้แล้ว แล้วอยากเปลี่ยนแปลงคุณภาพการเมืองให้ดีขึ้น


ส่งเสียงพวกเราให้ดัง ร่วมลงชื่อสนับสนุน บทวินัยลงโทษสส.ตัวแทนของท่าน แต่ไม่ทำหน้าที่ ได้ที่ >> https://chng.it/cXQwCrc2mG

.

.

จดหมายเปิดผนึก และข้อเสนอเรื่องบทลงโทษสส. พร้อมรายนามทุกท่าน จะถูกยื่นตรงต่อตัวแทนประธานสภาผู้แทนราษฎร


แล้วพบกันที่สภาครับ

ประเทศต่ำตม เพราะ"สภาล่ม"ซ้ำซาก

ล่มบ่อยกว่าเน็ต ก็สภานี่หละ… #สภาล่มครั้งที่16

คุณเอือมมั้ยครับ???

• นักการเมืองไม่มาทำงานสภา.. ทั้งที่ตั้งท่า ไหว้ย่อมาแต่ไกล ตอนหาเสียง

• เอางบประมาณไปเล่นชักกะเย่อ เกมการเมืองเก่าๆ.. จนไม่ครบองค์ ปิดประชุม

• เอาโอกาสคนไทยที่จะได้พัฒนาคุณภาพชีวิต จากกฎหมายใหม่ที่จะได้อนุมัติ.. มาด้อยค่า

และทั้งหมด "สภาล่ม" 16 ครั้ง ก็ผลาญเงินภาษีเรา เรียบร้อยกว่า 66.8 ล้านบาท!!!

.

.

ถึงเวลาหยุดวงจรการเมืองด้อยคุณภาพ ผมขอเชิญทุกท่านที่รู้สึกเหมือนกัน ร่วมลงชื่อ เพื่อสนับสนุนการมีบทลงโทษทางวินัย แก่สส.ที่ขาดวินัยและไม่มาทำหน้าที่ ต้อง

1) ถูกตั้งกรรมการสอบสอน โดนคาดโทษให้ใบเหลือง

2) หมดสิทธิอภิปราย - โหวตลงมติ

3) ถูกหักเบี้ยประชุม - เงินประจำตำแหน่ง

4) หมดสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง.. เมื่อทำขาดซ้ำซาก ทุกองค์ประชุม

.

.

ส่งเสียงเราให้ดัง ร่วมลงชื่อที่แบบฟอร์มออนไลน์Change.org ใช้เวลาเพียงสั้นๆ ได้ที่

.

.

จดหมายเปิดผนึก และข้อเสนอเรื่องบทลงโทษสส. พร้อมรายนามทุกท่าน จะถูกยื่นตรงต่อ ประธานสภาผู้แทนราษฎรในลำดับถัดไป

ขอบคุณทุกท่าน ที่อยากเห็นบ้านเมืองเราดีขึ้น

การเมืองที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น..

ร่วมลงชื่อ.. "สภาล่ม" สส.ไม่มาทำหน้าที่ ต้องมีบทลงโทษ!

ไม่ว่า ฝั่งเผด็จการ, ปชต, รัดบาน, ฝ่ายค้าน ...มาทำงานก่อนมั้ย!!!


◼️ ร่วมลงชื่อเสนอ บทลงโทษสส. คลิ๊กเลยที่นี่!



และแล้วก็เกิดเหตุ "สภาล่ม" ครั้งที่14 ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 2กุมภาที่ผ่านมา เมื่อมีสส.มาประชุมเพียง 234คน ไม่ถึงครึ่งนึงของจำนวนทั้งหมด 473คน มีอันต้องปิดประชุม...

.

.

นับว่าเป็นหนึ่งในสถิติการ"สภาล่ม" มากครั้งที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย... ไม่ว่าคุณเป็นกองเชียร์ฝั่งไหน? สถิติไม่น่าปลื้มทั้ง 2ฝั่งครับ... กฏหมายเสนอโดยฝั่งรัฐ ฝ่ายค้านพากันไม่มาโหวต (บางพรรคเทกัน 90-100%) ... กฏหมายยื่นโดยฝ่ายค้าน ฝั่งรัฐนั่งดูเน็ตฟลิกซ์ อยู่บ้านเว้ย!!

.

.

จะเล่นแง่ เกมการเมืองยังงัย... ขอให้อยู่ในกรอบการทำงานเพื่อบ้านเมืองนะครับ เพราะในช่วงข้าวยาก-หมูแพงแบบนี้... ปล่อยสภา"ล่ม" ก็เท่ากับปล่อยประเทศให้"ล่ม"จมฉันนั้น ...ร่างกฏหมายเร่งด่วน ที่ช่วยปากท้องประชาชนอีกมากมาย ต้องถูกดองเค็ม... เหมือนไม่เห็นความเดือดร้อนชาวบ้านเป็นเรื่องสำคัญยังงัยอย่างงั้น

.

.

มากไปกว่านั้น รู้มั้ย...ค่าใช้จ่ายต่อการ "สภาล่ม" หนึ่งหนมีราคาค่าเสียหาย จากภาษีคุณเท่าไหร่? มาดูกัน

.

.

◼️ เงินเดือนสส. + ทีมงาน 8ตำแหน่ง อยู่ที่ 242,560บาท/ เดือน

...คิดเป็นเงินวันละ 8,085 บาท/ สส.



x สส.ทั้งหมด 473 คน = 3.82 ล้านบาท/วัน

.

.

◼️ ค่าสถานที่รัฐสภา วันละ 360,000 บาท/วัน



(โดยเป็นค่าห้องอาหารขนาดใหญ่ 500 คน, ที่จอดรถ 900 คัน, ห้องบริวารอื่นๆ อีก 12 ห้อง, ค่าน้ำไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต, ค่าพนักงานทำความสะอาด, ค่าพนักงานดูแลจัดรถ, ค่าเจ้าหน้าที่ รปภ. และอื่นๆ)

.

.



ค่าใช้จ่าย 4,180,000 บาท/วัน



เมื่อรวมการ "สภาล่ม" มาแล้วทั้งหมด 14 ครั้ง



= 58.5 ล้านบาท!!!



...



เห้ย นักเรียนขาดเรียน ยังโดนตัดคะแนน.. พนักงานเงินเดือน ขาดงาน ยังโดนตัดเงิน... แล้วสมาชิกสภาผู้แทน ที่รับเงินเดือนเต็มจากภาษี แต่ขาดความรับผิดชอบ.. ทำให้ภาษีเราศูนย์สิ้นฟรีไปกว่า 58ล้านบาท ควรมีมาตราการลงโทษมั้ย??



1) ถูกตั้งกรรมการสอบสอน โดนคาดโทษให้ใบเหลือง



2) หมดสิทธิอภิปราย - โหวตลงมติ



3) ถูกหักเบี้ยประชุม - เงินประจำตำแหน่ง



4) หมดสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง.. เมื่อทำขาดซ้ำซาก ทุกองค์ประชุม

.

.

ผมขอเชิญประชาชนทุกท่านที่เห้นด้วยกับ มาตราการตรวจสอบผู้แทนสส.ของท่านแบบนี้ ร่วมลงชื่อที่แบบฟอร์มออนไลน์Change.org คลิ๊กที่ปุ่มด้านล่าง.. ใช้เวลาเพียงสั้นๆ



.

.

เมื่อเราร่วมลงชื่อกันอย่างพร้อมเพียง ผมและทางทีมงาน จะยื่นจดหมายเปิดผนึก และข้อเสนอเรื่องบทลงโทษสส. ที่บกพร่องเรื่องการเข้าประชุมสภา ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรในลำดับถัดไป



ขอบคุณทุกท่าน ที่อยากเห็นบ้านเมืองเราดีขึ้น



อยากเห็นผู้แทนที่ทำงาน ไม่ใช่ดีแต่พูด มา ณ ที่นี้ครับ

"ม้าลาย"ไม่ได้ผิด ผิดตรงที่วินัยคน...🚸

◾ คนเดินเท้า ในประเทศไทย เป็นกลุ่มที่เสี่ยงเสียชีวิตมากที่สุด ข้อมูล WHO ปี 61 ชี้ "ไทย" ครองอันดับ 1 ในเอเชียและอันดับ 9 ของโลก คนเสียชีวิตบนท้องถนนสูงสุด


จากเหตุการณ์น่าสลดบิ๊กไบค์ ชน"หมอกระต่าย" ...แม้เราพยายามแก้ปัญหาตอนนี้ ก็อาจดูเหมือนแก้เมื่อสาย - วัวหายแล้วล้อมฟาร์ม ยังงัยยังงั้น... แต่การหาแนวทางป้องกัน ที่ลดละการเกิดโศกนาศกรรมแบบนี้ในอนาคตได้ ก็ถือว่ามีประโยชน์ยิ่งยวด

.

.

ครั้นจะแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี และการออกแบบ แบบที่ผมถนัด ...ทางม้าลาย ไม่ว่าจะขยายใหญ่, ติดไฟกระพริบ, เพ้นท์เป็น 3มิติ หรือทำเป็นเนินสูงมาเลย ตามที่ประเทศหลายประเทศทั่วโลกเค้าใช้ ... ถึงทางม้าลายจะเด่นสะดุดตาขนาดไหน ในเมื่อวินัยคนไทย ยังขับกันล่ะหลวม.. คนไม่ระวังเค้าก็จะเฉี่ยวชนมันอยู่ดี

.

.

มองในเชิงกฏหมายบ้าง ผมคิดว่าประเทศไทยยังอ่อนมาก ในเรื่องบทลงโทษ.. โดยเฉพาะเคสนี้ ผู้ก่อเหตุถูกแจ้งข้อหายิบย่อยรวมเป็น 7ข้อหา แต่ข้อหาฉกรรจ์มีเเพียง "ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย" ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10ปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท

.

.

บวกกับโทษจิ้บจ้อย ที่เกี่ยวพันกับการฝ่าฝืนทางม้าลายเช่น "ไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายทางเท้า" หรือ "ไม่หยุดรถให้ผู้ใช้ทางม้าลาย" ...ซึ่งโทษ 2ข้อนี้เป็นการชำระค่าปรับไม่กี่บาท เป็นแค่การทำสำนวนให้รู้สึกว่าสังคมได้รับความยุติธรรม

.

.

ซึ่งผมคิดว่าไม่พอ ไม่พออย่างยิ่งที่จะทำให้คนไทยระวังคนเดินถนน ที่ข้ามถนนอย่างดี ตามกฎจราจรแล้วต้องพบจุดจบแบบนี้ ...พิจารณาการเฉี่ยวชน บนพื้นที่จราจรคุ้มครองพิเศษอย่าง ทางม้าลาย ควรต้องได้รับโทษฉกรรจ์พิเศษ เป็น "ขับรถเฉี่ยวชน บนพื้นที่คุ้มครองพิเศษ เป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย"

.

.

ตัดเรื่องความประมาททิ้งไป ในเมื่อทางม้าลาย คือพื้นที่คุ้มครองพิเศษ คนขับที่มีสามัญสำนึก ต้องขับผ่านโดยไม่ประมาทเป็นทุนเดิม... ดังนั้นเมื่อเฉี่ยวชน บนทางม้าลาย ให้ถือว่าไม่ประมาท แต่เข้าข่ายเป็นการพยายามฆ่า มีโทษจำคุกตั้งแต่ 15-20ปี

.

.

เมื่อกรอบกฎหมายเข้มงวดขึ้น นั่นแหละ เป็นสิ่งที่บังคับให้ผู้ขับขี่ ต้องระมัดระวังขึ้นโดยอัตโนมัติ

.

.

ปรับเปลี่ยนให้ ทางม้าลายจะเด่นสะดุดตาขนาดไหน ในเมื่อวินัยคนขับขี่ไม่ดี เหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ก็จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

.

.

ปัญหานี้ต้องเอาไปแก้ที่ต้นทาง คือดัดพฤติกรรมคนใช้ยานยนต์ ..


ให้เค้าเป็นคนเคร่งครัดในกฎ


เคร่งครัดในคุณค่าชีวิตคนอื่นมากขึ้น


ขอแสดงความเสียใจอีกครั้ง กับครอบครัวผู้ศูนย์เสียครับ 🕊️

ภาษีกรู!! สส.ไม่มา พาสภาล่มครั้งที่13

สส. คือผู้แทนประชาชน.. เมื่ออุตส่าห์กระเสือกกระสนขึ้นมา เพื่อได้ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติ ..แต่พอวันทำหน้าที่จริง กลับเกียจคร้านไม่มาแสดงตัวที่สภา จนมีอันต้อง "สภาล่ม" เนื่องจากมี ส.ส.ร่วมแสดงตนเพียง 226 คน จากสมาชิกที่มีทั้งหมด 473 คน ซึ่งน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ที่ต้องใช้ 237 คน ... และนี่ไม่ใช่การล่มครั้งแรก แต่ปาเข้าไปครั้งที่ 13แล้ว... มันใช่เรื่องรึปล่าว

.

.

เสียหายทั้งเวลา, งบประมาณ, และทำให้การออกกฎหมายแก้ปัญหาให้ประชาชนล่าช้าไป... นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ...ทำเหมือนกับ เห็นความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องไม่สำคัญ ...ธุระส่วนตัว - ข้ออ้างมักง่าย - ความขี้เกียจ ของสส.พรรค์นี้เป็นเรื่องใหญ่กว่า

.

.

และนี่คือTop5 พรรคที่ขาดประชุมมากที่สุด ในรอบนี้


🟨 เสรีรวมไทย ขาดประชุม 100% (0/10 คน)


🟥 เพื่อไทย ขาดประชุม 91.6% (11/131 คน)


🟦 ประชาธิปัตย์ ขาดประชุม 48.9% (25/50 คน)


⬜ พปชร ขาดประชุม 29.0% (83/117 คน)


⬛ ภูมิใจไทย ขาดประชุม 16.9% (49/59 คน)

.

.

หากการเข้ามาประชุมในสภา มันยากเย็นนักในยุควิกฤติโรคภัย ...ผมขอเสนอให้ใช้เทคโนโลยี เข้ามาแก้ปัญหา เปิดโอกาสให้ สส.ที่ไม่สะดวกเดินทางมายังสภาได้ ลงทะเบียนล่วงหน้า เพื่อเข้าประชุมทางออนไลน์.. สามารถโหวตร่างมติ - อภิปราย ผ่านระบบประชุมสภาออนไลน์ได้ปกติ ไร้รอยต่อ.. เพื่อที่จะลดข้ออ้างของผู้แทนประชาชนที่ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการทำหน้าที่นิติบัญญัติ เหล่านี้ลงได้..


เพราะวินัย, ความรับผิดชอบ และการเป็นเดือดเป็นร้อน แทนพี่น้องประชาชนคือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงข้าวยากหมูแพง... ปล่อยสภา"ล่ม" ก็เท่ากับปล่อยประเทศ"ล่ม" ..ยังงัยอย่างงั้น

.

.

นักเรียนขาดเรียน ยังโดนตัดคะแนน.. พนักงานเงินเดือน ขาดงาน ยังโดนตัดเงิน... แล้วสมาชิกสภาผู้แทน ที่รับเงินเดือนเต็มจากภาษี แต่ไร้ความรับผิดชอบเยี่ยงนี้ ควรมีมาตราการลงโทษเช่น...


✔️ ถูกตั้งกรรมการสอบสอน โดนคาดโทษให้ใบเหลือง


✔️ หมดสิทธิอภิปราย - โหวตลงมติ


✔️ ถูกหักเบี้ยประชุม - เงินประจำตำแหน่ง


✔️ หมดสิทธิลงสมัครเลือกตั้ง.. เมื่อทำขาดซ้ำซาก ทุกองค์ประชุม

.

.

ไม่ใช่ละเลยหน้าที่


แต่ลอยตัวเหนือความผิด จริงมั้ยครับ?


ปัญหาหมู ที่ไม่หมู.. รัฐรู้เรื่องป่ะ??

◾ 72% คือ ราคาหมูที่พุ่งกระฉูดขึ้น ภายใน 2ปี... นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ครับ ใครก็รู้เนื้อหมูเป็นเนื้อสัตว์พื้นฐานยอดฮิต ที่บริโภคกันมากที่สุดชนิดนึงในประเทศ ..ตามที่ได้เคยเขียนบทความเรื่องการแก้ปัญหา เนื้อหมูราคาแพงอาจนำมาซึ่งปัญหา "เงินเฟ้อ" อันใกล้นี้

.

.

ไม่รอช้า วันนี้ผมสบโอกาสลงพื้นที่ ที่ตลาดคลองเตย เพื่อสำรวจราคาเนื้อสัตว์ที่เป็นปัญหา ..พบว่าราคาเนื้อหมูส่วนใหญ่แขวนป้าย ราคา 170.-/กก. ซึ่งถูกลงมาก จากราคาคุ้นตาที่เราเห็นในอินเตอร์เน็ต ที่215บาท/กก. ...ราคามันดีขึ้นแล้วหรือไร???

.

.

เมื่อสอบถามพี่น้องแม่ค้าทั้งหลาย จึงพึ่งทราบว่า ที่วางอยู่เนี่ยะ เป็นหมูที่เรียกว่า "หมูโรงงาน" ..เชื่อว่าหลายท่านคงไม่ชินกับศัพท์เฉพาะแบบนี้.. "หมูโรงงาน" เอาซื่อๆเลยก็คือหมูที่ผ่านกระบวนการแช่แข็งมา ผลิตโดยโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ ..จึงมีราคาที่ถูกกว่า

.

.

ขณะที่หมูปกติที่ขายที่ตลาดนั้นเรียกว่า "หมูเขียง" คือหมูที่ผ่านการเชือดจากโรงฆ่าวันนั้นเลย แล้วขึ้นเขียง ชำแหละขายแบบสดๆ มีคุณภาพและความสดที่มากกว่า ..จึงมีราคาสูงกว่า

.

.

แม่ค้าหลายคนตัดพ้อ ว่าสาเหตุที่ต้องเอา "หมูโรงงาน" มาขายแทน "หมูเขียง" ในตลาดสด นั้นเป็นเพราะปัจจัยเรื่องราคา... คนซื้อเมื่อเห็นหมูที่แผงราคา 200กว่าบาทก็มีแต่ตกใจ และซื้อไม่ลง ทำให้ขายไม่ออกแทบทั้งวัน ...ทำให้แผงแม่ค้าส่วนใหญ่ ต้องจำใจเอาหมูโรงงาน ที่ราคาถูกลงมา( เหลือที่ 170.-/กก) มาวางแทน

.

.

ขณะที่หลายร้าน พยายามแก้ปัญหาหมูแพง แบบเฉพาะหน้าให้ผู้ซื้อ เช่น หมูสับปกติ อยู่ที่ 140.-/กก ..เอามาทำเป็น หมูสับผสมไก่สับ ราคาลงมาอยู่ที่ 70.-/กก. ..วิธีการแก้แบบนี้ ผมเห็นว่าไม่เลวที่ทำให้ผู้ซื้อ มีทางเลือกที่ถูกลงมา.. แต่ร้านค้าควรติดแสดงป้ายเขียนชัดเจน (หลายร้านไม่ได้ระบุ ว่ามีไก่ผสมอยู่) วานกรมการค้าภายในหมั่นตรวจสอบ เพื่อให้ผู้ซื้อ-ผู้ขายไม่มีปัญหาภายหลัง

.

.

ฝากไปที่รัฐบาล และกระทรวงพานิชย์ ต้องเร่งแก้ปัญหาระยะสั้น ด้วยการนำเข้าเนื้อสุกร (เช่น จากประเทศ อินโด, มาเล ที่ราคาถูก และไทยเคยนำเข้าเมื่อหลายปีก่อน) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนกับผู้บริโภคโดยด่วน.. และแก้ระยะยาว ด้วยการส่งเสริมการผลิตให้ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อย มีบทบาทมากขึ้น ลดการผูกขาด จากยักษ์ใหญ่ที่มีอิทธิพลเหนือตลาดมากเกินไป

.

.

อย่านอนใจเด้อ ก่อนที่จะ"เฟ้อ"ทั้งแผ่นดิน

หมูฝืด เป๋าตังแฟบ... แปปๆเงินจะเฟ้อ? #inflation2022

ราคาสุกรที่พุ่งสูงโหม่งโลก ที่กิโลละกว่า 200บาท ..อาจทำให้แม่บ้าน-แม่ค้า ขยาดไม่กล้าหยิบเข้าตระกร้าจ่ายตลาดไปอีกนาน ...จริงอยู่ปัญหาหมูฝืด เกิดจากปัจจัยภายนอก อย่างโรคอหิวาเนื้อหมูจากแอฟริกา (African Swine Fever)

.

.

..แต่หากรัฐไม่สามารถสกัดราคาที่พุ่งเกินจริง ของสินค้าพื้นฐานเหล่านี้ได้ ..มันจะมีผลลุกลามไปทั่วทุกส่วน เมื่อหมูแพง, ไก่ก็จะแพงขึ้น เพราะคนแห่มาซื้อเพิ่ม พาลให้ราคาแผงไข่ไก่ก็สูงไปด้วย ... หลังจากนั้นราคาอาหารต่อจาน ทุกร้านก็จะขยับตามราคาทุนที่เค้าต้องแบกรับ อย่างที่ร้านสุกี้เจ้าดัง เพิ่งประกาศขึ้นราคาเมื่อต้นปี

.

.

ภาวะที่ราคาอุปโภค-บริโภคพื้นฐานแพงขึ้นทั้งหมด ภายใต้สิ่งที่ผู้บริโภคได้รับเท่าเดิม.. ทำให้เงินในกระเเป๋าตังทุกท่าน กำลังถูกด้อยค่าลง ..บรรยากาศนี้แหละครับ "ภาวะเงินเฟ้อ" จากที่เราเคยซื้อข้าวแกงจานละ25..- พิเศษ30.- เมื่อปี2552 กลายปีข้าวแกงจานละ 40-50 ในปี 2558 ....ไม่รู้เมื่อเงินเฟ้อก่อตัวรอบนี้ ราคาข้าวแกง จะไปจบที่เท่าไหร่เมื่อสิ้นปี 2565

.

.

แน่นอนไม่เคยมีบทความไหนผมเขียนวิจารณ์ โดยไม่มีข้อเสนอแนะ ..สิ่งที่รัฐ + กระทรวงพานิชย์ ควรแก้เกมโดยด่วน ทั้งการแก้ระยะสั้น ในระดับผู้บริโภค และการแก้ระยะยาว ระดับอุตสาหกรรมผู้ผลิตเนื้อสัตว์..


◼️ แก้เกมระยะสั้น


✔️ นำเข้า เพื่อบรรเทา


นำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ ประเทศรอบข้างที่เป็นนักบริโภคหมูอย่างจีน เชื่อมั้ยครับ เค้าเลี้ยงหมูเองได้เยอะ เป็นระดับต้นๆในโลก แต่ก็ยังเป็นผู้นำเข้าเนื้อหมูอันดับหนึ่งในโลก เพื่อตอบความต้องการบริโภคของประชากรในประเทศจีน ที่นิยมกินหมู ...ประเทศไทยควรพิจารณา แก้ปัญหาระยะสั้นด้วยการนำเข้า เนื้อหมูจากประเทศที่ราคาต่อกิโลถูกกว่าเรา อย่างประเทศอินเดีย (ราคาเนื้อหมูอยู่ที่ 99บาท/กิโล) เพื่อนำมาตั้งจุดขายให้ผู้บริโภคไทย และเพื่อกดดันบริษัทผู้ผลิตสุกรใหญ่ในประเทศไทย ให้ต้องลดราคาขายลงมา


แต่ข้อควรระวังสำคัญ คือปริมาณที่นำเข้าและกรอบเวลาต้องจำกัด ..จำกัดอยู่ในปริมาณที่ใช้บริโภคพอดี ไม่ล้นตลาด และไม่ทำให้ราคาหมูไทยเองตกลงในระยะยาว


◾ แก้เกมระยะยาว


✔️ ลดอำนาจยักษ์ใหญ่ในประเทศ


ลดอำนาจของผู้ผลิตสุกรยักษ์ใหญ่ในประเทศ ที่มีอยู่ไม่กี่ราย แต่มีอิทธิพลในการกำหนดราคาหมูในประเทศแบบเบ็ดเตล็ด เพราะกลุ่มบริษัทเครืออย่าง ซีพี หรือ เบทาโกร และเจ้าใหญ่อื่นๆ มีกำลังผลิตรวมกันทั้งหมดเกือบ 70% ของปริมาณเนื้อหมูในประเทศ ...เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาในประเทศไทย ในประเทศอเมริกาก็กำลังมีประเด็นเช่นนี้ เมื่ออุตสาหกรรมผู้ผลิตเนื้อวัว-เนื้อหมู 82% ตกอยู่ในการผูกขาดของ บริษัทยักษ์ใหญ่เพียง 4เจ้า คือ JBS SA, Cargill, National Beef และ Tyson Foods Inc.


ซึ่งรัฐบาลสหรัฐ เค้าเพ่งเล็ง เช็คราคาขายเนื้อหมู-เนื้อวัวของแก๊งนี้อย่างหนัก ..มีการลดเงินกู้ไม่ให้ขยายฐานผลิตไปมากกว่านี้ ..และส่งเสริมให้ขายแบบส่งออกนอกประเทศ มากกว่าขายในประเทศอีกด้วย

.

.

✔️ ขยับรายย่อยให้มีบทบาท


ทางกลับกันกับผู้ผลิตรายใหญ่ อย่างCP, เบทาโกร... รัฐควรต้องช่วยอุ้ม ผู้ผลิตเนื้อสุกรรายย่อย ที่มีกำลังผลิตรวมประมาณ 30%ของเนื้อสุกรทั่วประเทศ ..เมื่อเกิดภาวะโรคระบาดหมู ASF ไม่ว่าด้วยการสนับสนุนทางเทคโนโลยี, ทางการปศุสัตว์แพทย์, การสนับสนุนลดหย่อนภาษี หรือการเข้าถึงแหล่งเงินกู้รัฐบาล ...เพื่อให้ผู้เลี้ยงรายเล็กที่ประสบปัญหา สัตว์ตายยกคอก สามารถขอรับความช่วยเหลือจากเรื่องเหล่านี้ได้ มีเจ้าหน้าปศุสัตว์ช่วยมาฉีดยาสัตว์ ให้ความรู้ ..สามารถเขียนโครงการ ขอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารรัฐในโคครงการ เพื่อนำเงินไปลงทุนเลี้ยงสัตว์คอกใหม่ ให้เค้าเริ่มต้นใหม่ได้


การสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย ให้มีปากมีเสียง จะช่วยทำให้รายเนื้อหมู-เนื้อสัตว์อื่น ไม่พุ่งกระฉูด ไปตามแรงเร้าจากเจ้าใหญ่... ผลักดันผู้ผลิตเนื้อสัตว์รายใหญ่ในประเทศ ให้เพิ่มการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพื่อความสมดุลย์ในอุตสาหกรรมระยะยาว

.

.

กับสภาพปี-2ปี ที่ทุกท่านลำบากมา


ผู้บริโภคเป๋าตัง"แฟบ"


ผู้เลี้ยงหมูเสี่ยงจะไม่"ฟื้น"


ภาวะการเงิน ขอเลย..


อย่าพึ่ง"เฟ้อ"เด้อ

รู้จักกับ "ชาวสแลช" ..เมื่อเส้นแบ่งอาชีพ ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว

เริ่มมาจากการปฏิวัติเทคโนโลยีในรอบ 20ปีที่ผ่านมา ที่ทำให้มนุษย์เราทำงานหลายอย่างได้พร้อมๆ ในเวลาเดียวกัน (Multitasking) ...แน่นอนย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมการดำรงชีวิตของมนุษย์ในเมือง เปลี่ยน ผู้คนรุ่นใหม่สามารถทำอาชีพหลัก ไปพร้อมกับบทบาทอาชีพรองต่างๆ ทำไปด้วยกันได้

.

.

มีมูฟเม้นต์แบบนี้ ที่ไต้หวัน, ฮ่องกง ที่เค้าเรียกประชากรกลุ่มนี้ว่า "ชาวสแลช" นี่ไม่ใช่แฟนคลับของ สแลช มือกีต้าร์วงGun n' Roses วงร๊อคชื่อดังยุค 90'sแต่อย่างใด แต่คือ "เครื่องหมายแสลช ( / )" ที่ภาษาไทยเรียกง่ายๆว่า "เครื่องหมายทับ"

.

.

เป็นเครื่องหมายแทนว่า คนยุคนี้ไม่ได้มีอาชีพเดียว - หน้าที่เดียว หรือ บทบาทเดียว อีกต่อไปแล้ว ตัวอย่างเช่น



◼️ พงศ์ธร: นักมวยไทย/ คนขับGrab/ รับจ้างซ่อมไฟ


◼️ รวิสา: พนักงานต้อนรับ/ ตัวแทนประกัน/ ขายอาหารเสริมออนไลน์


◼️ พรพรรรณ: นักศึกษา/ ขายเสื้อออนไลน์/ Youtuberรีวิวที่ท่องเที่ยว

.

.

ข้อดีของการ เป็นชาวสแลช นอกจากเรื่องการมีรายได้เสริม เพิ่มเติมจากช่องทางหลักแล้ว... ส่วนสำคัญมากๆอีก ยังเป็นการ Self-Fullfilment เติมเต็มความฝัน-ความทะเยอทะยานส่วนตัว ของเจ้าตัวเอง... ต้องยอมรับว่าหลายคน ทำอาชีพหลักเพื่อที่จะหารายได้เลี้ยงดูตัวเอง และครอบครัว (Do it for living) แต่งานที่เค้าชอบ หรือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข ..ดันไม่เคยมีเวลาให้ทำ ไม่มีสนามให้ลอง

.

.

ตัวอย่างเรื่องเติมเต็มความสุขตัวเอง ทำให้ผมนึกถึงพี่ ‘เอก–พิชัย แก้ววิชิต’ คนขับมอไซค์วิน ที่ส่งผู้โดยสารหาเลี้ยงชีพ ระหว่างวันก็คอยตะเวณหาสถานที่ใหม่ๆ ที่ตัวเองจะได้โชว์บทบาทตากล้อง ถ่ายภาพสไตล์มินิมอลที่ตนเองชอบ เก็บลงไว้ใน instagramส่วนตัวทุกๆวัน (@phichaikeawvichit)

.

.

งานถ่ายภาพของพี่เอก โด่งดังเป็นพลุแตกในที่สุด จนได้แสดงผลงานในแกลเลอรี ร่วมงานกับแบรนด์สตรีทระดับโลกอย่าง Atmos และ Nike ...เรื่องราวของพี่เอก อาจเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคน เมื่อครั้งนึงแกได้ให้สัมภาษณ์อย่างมีพลังไว้ว่า "ขับวินเพื่อเลี้ยงชีพ ถ่ายรูปเพื่อเลี้ยงจิตวิญญาณ"

.

.

ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องสำเร็จยิ่งใหญ่เสมอไป ..การเป็นชาวสแลช มีเครื่องหมายทับ (/) ในหลากบทบาท... ทำให้พนักงานอ๊อฟฟิซธรรมดา สามารถมีอาชีพปลูกต้นไม้กระบองเพชร ที่ตัวเองชื่นชอบ นอกเวลางาน และวางขายเป็นร้านเล็กๆในออนไลน์ ...มีรายได้กลับมาเล็กน้อย แต่ความสุขที่เติมเต็มนั้นมหาศาล

.

.

สุดท้ายนอกจากเรื่องเงิน และความสุขส่วนตัว การเป็นชาวสแลช ยังถือเป็น "การบริหารความเสี่ยง" ในสายอาชีพที่ดีมากๆอีกด้วย ...ไม่มีใครรู้ว่างานที่เรามี จะถูกแทนที่ด้วยจักรกลหุ่นยนต์เมื่อใด, ภัยที่มาจากโรคต่างๆ จะทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวอีกกี่แห่ง ...ดังนั้นการมีอาชีพที่ 2, 3 จะช่วยรองรับความเสี่ยง เมื่อมีเหตุจำเป็นที่งานหลักไม่สามารถไปต่อได้นั่นเอง

.

.

ผมเชื่อว่า Slash People จะนำไปสู่การขับเคลื่อนสังคมแบบ Slash Society ที่ทุกคนมีบทบาท-หน้าที่หลากหลาย มีการสอดประสานทางพหุวัฒนธรรมกันมากขึ้น ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่


และความร่วมมือแบบนั้น นั่นแหละนำไปสู่


การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ประเทศในภายภาคหน้า

รู้ทันภาษี "คนละครึ่ง"...ข้อคำนึงและแนวทางแก้ไข

ใกล้ถึงช่วงเวลาระทึกของปี.. นั่นคือช่วงยื่นภาษีเงินได้ประจำปี ซึ่งเป็นหน้าที่พลเมืองที่ต้องจัดการระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคมของทุกปี... ตั้งแต่รัฐบาลมีการทำโครงการกระตุ้นการจับจ่าย ให้ชาวพ่อค้า-แม่ขาย อย่าง โครงการ"คนละครึ่ง" ซึ่งถือเป็นโครงการที่ดีสำหรับผู้ซื้อ และผู้ขาย แม้จะมีจุดอ่อนในเรื่องการให้สิทธิที่ไม่ทั่วถึง และซ้ำซ้อนบ้างก็ตาม

.

.

สิ่งที่เกิดขึ้นระยะหลัง เมื่อคุณเดินตลาดสดดู จะพบว่าหลายร้านค้ามีการเอาป้ายโครงการออก และปฏิเสธที่จะรับเงินผ่านแอปโครงการ ...สาเหตุหลักเลย คือเรื่องกลัวการถูกสรรพาการ เรียกเก็บภาษีเงินได้ย้อนหลัง ที่แม่ค้าร้านเล็กๆหลายเจ้า ไม่ได้เตรียมใจไว้ ...บางคนถูกเรียกเก็บภาษีก้อนใหญ่ปลายปี หลายหมื่นบาท ...จากการทำความเข้าใจหลายส่วน ผมมีข้อคิด และแนวทางแก้ไขดังต่อไปนี้

.

.

◾ ข้อคิดสำหรับร้านค้าตัวเล็ก...


✔️ ต้องรู้ว่ารับได้เท่าไหร่


เนื่องจากกำไรสุทธิที่ไม่เกิน 150,000บาท/ปี คือกำไรต่อปีมากที่สุดที่คุณจะไม่โดนภาษี... เมื่อคำนวนย้อนหลัง และหักค่าลดหย่อนเรียบร้อยแล้ว = ยอดขายรวมทั้งปีต้องไม่เกิน 525,000บาท


เพราะฉะนั้นร้านค้าที่ร่วมโครงการ จำไว้ง่ายๆว่า สามารถรับเงินผ่านโครงการ คนละครึ่ง "ได้ไม่เกิน 43,750.-/เดือน" (525,000.-/ปี)...หากเกินปุ๊บคุณควรหยุด ถ้าไม่อยากเผชิญการเก็บภาษีย้อนหลัง

.

.

✔️ ต้องเก็บหลักฐานรายจ่าย


เนื่องจากการแสดงรายจ่าย หรือต้นทุนสินค้า สำหรับผู้ค้ารายเล็กนั้นแสดงได้ยากกว่าร้านค้า ที่จดอยู่ในรูปแบบบริษัท หรือหจก. ...ทาง"คนละครึ่ง" จึงใช้กลไกการคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาๆ ที่60% จากยอดขาย เท่ากับว่ากำไรการขายทุกชิ้นอยู่ที่ 40%... ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกินจริงไปมาก


ยกตัวอย่างเช่น ร้านโชว์ห่วย ขายของชำเล็กๆ ที่ซื้อสินค้ายกลังมาจากแมคโคร แล้วนำมาขายปลีก ...ทำกำไรต่อชิ้นได้ 5-10%เท่านั้น เมื่อรับการชำระเงินผ่านแอปคนละครึ่ง ซึ่งคิดว่าร้านต้องกำไร 40% จะเสียเปรียบและทำให้เสี่ยงต้องจ่ายภาษีมากเกินความจริง


วิธีป้องกันตัวคือ สำหรับร้านค้าที่มีส่วนกำไรต่อชิ้นน้อย ควรอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทำบัญชี, เก็บใบกำกับภาษีเมื่อซื้อของ, ค่าน้ำค่าไฟ เพื่อสามารถแสดงรายจ่าย-ต้นทุน ของตัวเองได้ทั้งหมด ...เพื่อที่การคิดภาษีจะแม่นยำตามจริง ไม่ถูกอัตราค่าใช้จ่ายเหมาที่ 60% เอาเปรียบ ทำให้ขาดทุนในที่สุด

.

.

◾ แนวทางแก้ไขโครงการสำหรับรัฐบาล...


✔️ หัก ณ ที่จ่าย แทนที่การเก็บตู้มเดียวย้อนหลัง


รัฐบาล ควรปรับเปลี่ยนmechanic กลไกการจัดเก็บภาษี จากการเก็บเงินได้แบบก้อนเดียวตู้ม ย้อนหลัง ไปเป็นการเก็บแบบหัก ณ ที่จ่าย ...ซึ่งเป็นการช่วยพ่อค้า-แม่ค้าตัวเล็ก ในการบริหารค่าใช้จ่ายได้ดีกว่า เห็นภาพว่ากำไรหลังหักภาษีแล้วอยู่ที่เท่าไหร่ ...เค้าจะได้วางแผนการเงินได้ถูกต้อง ตั้งราคาขายที่ทำให้พวกเค้าไม่เจ็บตัว ...ลดความกังวล เพราะไม่มีภาษีเรียกเก็บย้อนหลังอีก


การหักภาษี ณ ที่จ่าย ช่วงแรกแนะนำให้คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 1.5-2% หักจากยอดขาย (น้อยกว่าการหัก ณ ที่จ่ายสำหรับงานฟรีแลนซ์) เพราะการนำพ่อค้า-แม่ค้าเข้าระบบภาษี ต้องค่อยๆออมชอมให้เกิดความเข้าใจ และปรับใช้จริงได้... แถมตัวเลขภาษี 1.5-2% ยังน้อยการค่าบริการโอนเงินบางแอป - ค่าธรรมเนียมการรับชำระบัตรเครดิต ด้วยซ้ำไป ทำให้พ่อค้าแม่ค้า เข้าใจและยอมรับได้


ผมยังยืนยันว่า โครงการ"คนละครึ่ง" มีประโยชน์จริง เพียงแต่กลไกมันต้องการการปรับจูน เหมือนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ที่ต้องอัพเดทเฟิร์มแวร์อยู่เรื่อยๆ เพื่อลดปัญหา ทำให้การใช้งานดีกว่า และเพื่อความโปร่งใส

.

.

ให้ทุกคนได้ประโยชน์สูงสุด - รัฐได้ภาษี

"MEDIAVERSE".. สงครามกรอกหู ในยุคสื่อเลือกข้าง

ก่อนไปเมต้าเวิร์ส เข้าใจ"มีเดียเวิร์ส".. จักรวาลข่าวนฤมิตร ในไทยซะก่อน

.

ความเข้าใจเก่าๆบอกเราว่า "สื่อต้องเป็นกลาง" .. แต่ยุคสมัยนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียวแล้ว เมื่อเราอยู่ในยุคที่สื่อเลือกข้างจะสร้างengagement คือการกดไลค์, คอมเม้นต์, กดแชร์ในโลกโซเชี่ยล ได้ไวกว่า ....การพาดหัวข่าวดราม่า ทำให้แฟนๆในฝั่งนั้นใช้อารมณ์-ความรู้สึกร่วมในการเสพย์ข่าว ซึ่งนำไปสู่การแชร์บอกต่อ, แท็กเรียกเพื่อนมาสบถ, ใส่แฮชแทคในทวิตเตอร์เพื่อเคลื่อนไหวมากกว่า..

.

.

เพราะฉะนั้น การยึดข้าง-ถือข้างของสื่อจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจซะทีเดียว ลองดูชาร์ต "MEDIAVERSE" จักรวาลข่าวนฤมิตร ประเทศเรากัน.. จะเห็นสำนักข่าวต่างๆล้วนมีจุดยืน(positioning) ในการนำเสนอข่าวที่ต่างกัน.. แม้ว่าจะได้แหล่งข่าวเดียวกัน โทนการนำเสนอจะแตกต่างกัน ราวกับเป็นคนละข่าวได้เลย

.

.

ยกตัวอย่าง ..สื่อจากทางรัฐ อย่างช่องทีวีที่อยู่ในการดูแลรัฐ ย่อมมีแนวโน้มให้สารหนักไปทางเชียร์รัฐบาลนั้นๆ ไม่ว่าใครขึ้นมาเป็นรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นฝั่งซ้าย อุดมคตินิยม/ เสรีภาพ (ประมาณ สีแดง-สีส้ม) หรือจะเป็นทางฝั่งขวา อนุรักษณ์นิยม/ กลุ่มรักสถาบัน (สีฟ้า-เหลือง) หมุนเวียนเป็นไปตามวาระและเวลา

.

.

หรือบางสื่อเอกชน ที่มีการถือหุ้นจากกลุ่มตระกูลนักการเมือง ย่อมมีความเอื้อในเสนอข่าวประชาสัมพันธ์ให้กับพรรคพวกตัวเองมากกว่า ..แม้เมื่อมีข่าวอื้อฉาวพาดพิงกลุ่มคคนฝ่ายตัวเอง สำนักข่าวที่เอนข้างแบบนี้ จะปกป้อง หรืองดการให้ข่าวที่เป็นลบกับฝ่ายตนโดยทันที

.

.

มาดูลักษณะเฉพาะกันบ้าง


◼️ สื่อเอนฝั่งซ้าย ซึ่งกลุ่มเป้าหมายตัวเองเป็นกลุ่มอายุน้อยกว่า จึงมีแนวโน้มที่เป็นสื่อ ที่มักทำได้ดีในออนไลน์มากกว่า คล่องตัวกว่า...


◼️สื่อเอนขวา ซึ่งกลุ่มผู้ติดตาม มีอายุเฉลี่ยสูงกว่า จะทำได้ดีในช่องทางสื่อสิ่งพิมพ์ หรือวิทยุ/ โทรทัศน์ ที่เข้าถึงกลุ่มคนคนติดตาม ได้ดีกว่าทางออนไลน์

.

.

ตรงนี้สำคัญครับ "..อย่าฟันธงว่าสื่อไหนดีไม่ดี จากการเอนเอียง หรือเลือกข้าง.." แต่คุณควรดูคุณภาพของเนื้อข่าวที่แท้ทรูต่างหาก ที่เป็นปัจจัยสำคัญบอกว่ากองบรรณาธิการนั้นๆน่าเชื่อถือมากแค่ไหน.. ลองดูชาร์ตในแนวแกนตั้งนะครับ.. สื่อที่มีคุณภาพสูงสุด (ด้านบนสุด อย่างอีจัน) จะให้ข้อมูลที่pure บริสุทธิที่สุด เป็นเนื้อข่าวที่ได้จากแหล่งข่าว - จากคนที่ให้สัมภาษณ์แบบคำต่อคำ แปลว่าข้อมูลจากสื่อกลุ่มนี้มีคุณภาพสูงที่สุด!!! เพราะข่าวเหล่านี้ยังไม่ผ่านการตีความ ยำความเห็น จากทีมผู้สื่อข่าวเลย ซึ่งอาจทำให้เนื้อความ มีน้ำหนักที่ผิดเพี้ยนไปบ้างตามความเห็นของคนเขียน..

.

.

ขณะที่สื่อออนไลน์ด้านล่างสุด อย่าง ดับเบิลแสตนดาร์ด ที่มักเขียนข่าวจากความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ มีการบิดเบือน-ใส่ความคิดแง่ลบเอามันส์ ดัดแปลงเนื้อข่าวจริง แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังฝ่าเท้า ก็สามารถพิจารณาว่าเป็นสื่อที่ด้อยคุณภาพไปตามเนื้อผ้า

.

.

ลองพิจารณาสื่อที่ทุกท่านกำลังติดตาม ลองมอนิเตตอร์ตัวคุณเอง ว่าคุณชอบติดตามสื่อฝั่งไหน ชอบการให้ข้อเท็จจริงจากแหล่งข่าวตรง หรือ ชอบติดตามการพาดหัวแบบดราม่า จะได้อ่านสนุกขึ้น.. ไม่ว่าคุณชอบทางไหนแน่นอนว่าไม่ผิด เป็นวิจารณญาณส่วนตัวของคุณ.. แต่อยากให้ลองเปิดกว้างรับสารจากสื่อที่หลากหลาย เพราะจะทำให้คุณไม่อยู่ในภาวะ Echo-Chamber หรือภาษาไทยเรียกว่า ภาวะเสียงสะท้อนในกะลา ..คล้ายว่า คุณอยากอ่านแค่สิ่งที่คุณอยากให้มันเป็น, อยากได้ยินแค่สิ่งที่คุณได้ยิน... ซึ่งผลลัพธ์นั้น ทำให้เกิดอาการไม่รับฟังความคิดเห็นที่ต่าง หรือ แย่ที่สุดคือปฏิเสธ และไม่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้เลย

.

.

จงเสพย์สื่ออย่างมีสติ เพราะสังคมที่ยอมรับความแตกต่าง


รับฟังซึ่งกันและกันเท่านั้น คือสังคมที่มีปัญญา


และหาทางไปต่อกันได้..